อัปเดต “อีกัวน่าเขียว” เขาพระยาเดินธง ลพบุรี ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นซึ่งยึดครองพื้นที่มานานกว่า 2 ทศวรรษ

“แสงแดดช่วงปลายฝนต้นหนาวที่หมู่ 3 บ้านห้วยบง

ตำบลเขาพระยาเดินธง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี

แม้จะยังอยู่ในช่วงสายของวันแท้ๆ แต่ความร้อนแรงของมันก็มากพอ

ที่จะทำให้พวกเราต้องพยายามอิงอาศัยร่มเงาไม่ใหญ่พอช่วยกำบังบ้าง”

“ระวังครับ อย่าไปยืนใต้ต้นนั้น”  วิฑูร มะนาวหวาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 รีบตะโกนบอกฉันและทีม จริงๆ แล้วยังไม่สิ้นเสียงผู้ใหญ่ดี ประสาทอัตโนมัติของทุกคนก็รีบพาร่างออกจากร่มไม้นั้นในทันใด ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่า เราต้องระวังอะไร 

และแล้วคำเฉลยก็มาอย่างไวพอๆ กับความสงสัยในใจก็ว่าได้ เพราะไม่กี่วินาทีต่อมาก็มี “บางอย่าง” ตกลงจากต้นไม้ที่พวกเราอิงอาศัยร่มเงากันเมื่อครู่ลงด้วยความเร็วตามแรงโน้มถ่วงของโลก เมื่อลงกองมากองที่พื้นจึงได้เห็นว่า มันเป็นของเหลวสีเขียวเข้มออกดำๆ ซึ่งน่าจะเป็นมูลสัตว์ชนิดหนึ่ง ทุกคนต่างกวาดสายตาหาต้นตอพร้อมกันเร็วๆ 

“นั่นไงๆ บนกิ่งตรงนั้นนั้น”  ผู้ใหญ่วิฑูรบอกพวกเรา ภาพที่เห็นคือ กิ่งไม้ ใบไม้ทั่วไป แต่เมื่อพยายามเพ่งแล้วเพ่งอีกถึงได้เห็น ภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น  “อีกัวน่า” สีเขียวสดตัวเขื่องกำลังนอนทอดตัวเหยียดยาวบนกิ่งไม้รับแสงแดดอย่างสบายใจ ไม่ได้อยู่ในกรงอย่างที่ควรจะเป็น

อีกัวน่าเขียวนอนผึ่งแดดอย่างสบายใจบนกิ่งไม้ใหญ่ราวกับเป็นบ้านที่คุ้นเคยของมัน

อีกัวน่าเขียว เอเลี่ยนสปีชีส์ในไทยที่เดินทางไกลจากอีกซีกโลก

“อีกัวน่าเขียว หรือกรีนอีกัวน่า (Iguana iguana)” เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในป่าเขตร้อนแถบเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ รวมทั้งหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลแคริบเบียนและมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ 

ประมาณการณ์กันว่า เมืองไทยน่าจะนำเข้าอีกัวน่าราวช่วง พ.ศ. 2531 แม้สนนราคาจะมีตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น แต่ก็มีกลุ่มคนที่นิยมไม่น้อยโดยเฉพาะสายพันธุ์อีกัวน่าเขียว หรือกรีนอีกัวน่า ที่ราคาเข้าถึงง่ายที่สุด ดูแลง่าย ไม่ซับซ้อน แต่บางคนก็เลือกเลี้ยงตามเพื่อน หรือตามเทรนด์ 

ความนิยมเลี้ยงอีกัวน่าในเมืองไทยช่วงนั้น “พีคสุด” มีการเพาะพันธุ์อีกัวน่าออกจำหน่ายทั้งในรูปแบบฟาร์มและในนามบุคคล โดยไม่มีใครคาดคิดเลยว่า จำนวนอีกัวน่าที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดนี้จะมีตลาดรองรับทั้งหมดไหม ในไม่ช้าเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ เมื่ออีกัวน่าออกสู่ท้องตลาดจำนวนมากขึ้น ราคาจำหน่ายก็เริ่มตกลงตามลำดับ ประกอบกับมีการนำเข้าสัตว์พิเศษชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ไม่นานการเลี้ยงอีกัวน่าสายพันธุ์ต่างๆที่เคย “เท่” ก็ตกเทรนด์ แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับอีกัวน่าจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นสัตว์ที่เจ้าของ (บางคน) ไม่ต้องการ 

นั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียวในธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ดังมีรายงานตั้งแต่ พ.ศ.2559 เป็นต้นมา โดย ตำบลเขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี จัดเป็นชื่อแรกๆ ที่พบการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียว และยังคง “มีอยู่” จนปัจจุบัน

จุดชมวิวเขาพระยาเดินธงเผยบรรยากาศตระการตาของพื้นที่ตำบลเขาพระยาเดินธงและใกล้เคียง

“บ้านห้วยบง ลพบุรี” ดินแดนที่พบเห็นอิกัวน่าเขียวได้ง่ายกว่ากิ้งก่าพื้นเมืองเสียอีก

เมื่อมองลงไปจากจุดชมวิวยอดเขาพระยาเดินธงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านห้วยบง เราจะเห็นภูมิประเทศได้เกือบ 360 องศา มีภูเขาป่าไม้โอบล้อมพื้นที่ราบอันเป็นที่ตั้งของบ้านเรือน พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งน้ำใหญ่-น้อย ผู้ใหญ่วิฑูรเล่าให้เราฟังว่า

“เมื่อ 25 ปีที่แล้วมีคนกรุงเทพฯ มาซื้อที่ดินติดชายเขาในหมู่บ้านห้วยบงเป็นร้อยไร่เลยเพื่อทำรีสอร์ท ตอนนั้นเขาก็เอาอีกัวน่า

มาเลี้ยงด้วยแล้วก็ทำกรงใส่ไว้ให้แขกที่มาพักได้ดู พอเขาเลิกกิจการแล้วขายรีสอร์ทให้คนอื่นต่อ แต่ก็ดันทิ้งอีกัวน่าเอาไว้ที่นี่ อีกัวน่าเลยเริ่มออกลูกออกหลาน แล้วก็ขึ้นไปอยู่บนเขาบ้าง ชายป่าบ้าง หลังๆ ก็เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน อย่างผมเองก็เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แรกๆ ก็ตื่นเต้นเพราะเคยเห็นแต่กิ้งก่า แต่นี่มันตัวใหญ่กว่าเยอะ สีก็สวยแปลกตา เห็นจนชินแล้ว” 

ชาวบ้านห้วยบงพาเราออกสำรวจอีกัวน่าเขียวในหมู่บ้าน

พอเราหันไปถามชาวบ้านคนอื่นๆ บ้าง ไม่ว่าจะคุณยาย คุณป้า คุณลุง วัยรุ่น แม้แต่เด็กๆ ที่มารายล้อม ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกันชนิดที่เสียงไม่แตกเลยนั่นก็คือ “เห็นจนชินแล้ว – เห็นทุกวัน  – มีเต็มไปหมด – เยอะมาก”

อีกัวน่าเขียววัยหนุ่มกำลังข้ามถนนโดยไม่กลัวรถแทร็คเตอร์คือ เรื่องปกติที่พบเห็นได้ในบ้านห้วยบง

ที่น่าสนใจไปว่านั้นก็คือ ความเคยชินที่ว่ากลับมาพร้อมกับการแบกรับความเดือดร้อนหลายอย่างที่บางคนอาจไม่เข้าใจ และเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารยิ่งขึ้น คุณยายประไพ รีบพาเราไปดูค้างบวบหลังบ้าน เรายืนกันอยู่พักเดียวคุณยายก็ชี้ให้ดูอีกัวน่าเขียววัยเด็กสีเขียวสดสองตัวที่ตัวหนึ่งกำลังกัดกินยอดบวบ อีกตัวหนึ่งก็กินดอกบวบอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมเล่าว่า 

“ที่นี่มีคนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกเค้าไม่ได้รับความเดือดร้อนจากอีกัวน่าเพราะไม่ได้ปลูกพืชผักอะไร ถ้าหนูไปถามเค้าก็จะเฉยๆ 

กับอีกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ เพราะอีกัวน่ามันมากินพืชผักเค้าเสียหายหมด ไม่เหลือให้กิน เชื่อไหม แค่แทงยอด

ขึ้นมาเป็นต้นอ่อนเท่านั้น มันก็มางาบไปหมดแล้ว ไม่ทันได้โต แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจากต้องไปซื้อที่ตลาดมาทำกิน แต่ซื้อ

มากินก็ถ่ายท้องนะเหมือนมันมียาฆ่าแมลงเยอะ เพราะเราปลูกเอง เราไม่ฉีดยากัน”

อีกัวน่าเขียวตัวน้อยที่หยุดมองพวกเราอย่างสนใจ จากนั้นก็พากันหายอดบวบเป็นมื้อเช้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (ภาพ: วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์)

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นถึงนิสัยไม่ดุร้าย แต่ต้องเฝ้าระวัง

ดวงตาสีน้ำตาลเหลืองล้อมรอบตาดำที่ยากจะคาดเดาความหมาย รูจมูกใหญ่สองรูเบิกกว้าง เกล็ดกลมนูนน้อยใหญ่ที่กระจายทั่ววงหน้า ส่วนใต้คางลงไปมีแถวหนามสั้นๆ ยาวไปสุดที่ใต้ลำคอ บางตัวก็ต่อด้วยเหนียงที่ซ้อนพับเป็นชั้นๆ ส่วนลำตัวมีเกล็ดปกคลุมทั้งหมด ที่น่าสนใจคือ ตั้งแต่ส่วนหัวลงไปจะมีกระโดงหนามตั้งเรียงยาวจรดปลายหาง โคนหางขนาดใหญ่ดูแข็งแรงและเป็นอาวุธสำคัญของอีกัวน่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ไม่เพียงเท่านั้นพวกมันยังมีสี่ข้างที่เปี่ยมด้วยพละกำลังในการเดิน วิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปีนป่ายที่ยังต้องอาศัยนิ้วยาวและกรงเล็บช่วยในการยึดเกาะ 

วิษณุ ศรีมันตระ ใช้ไม้ยาวผูกปลายด้วยบ่วงเชือกจับอีกัวน่าลงมาจากต้นไม้ด้วยความชำนาญ 

ลักษณะของอีกัวน่าที่เล่ามานี้ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า “มันเป็นแค่สัตว์กินพืชจริงๆ นิสัยไม่ดุร้ายใช่ไหม”  เพื่อให้แน่ใจในความถูกต้องของข้อมูล เราจึงไปพูดคุยกับ นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์แอนิมอลสเปซ และประธานชมรมสัตวแพทย์สัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ

อีกัวน่าเป็นสัตว์กินพืชสามารถกินผักผลไม้ได้ทุกชนิดแต่จะไม่กินสัตว์ เว้นแต่ตัวเมียในช่วงวางไข่ที่ต้องการโปรตีนสูงกว่าปกติ บางตัวจึงอาจกินแมลงบ้าง สำหรับนิสัยใจคอ โดยธรรมชาติอีกัวน่าเป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้าย แต่เค้าก็มีกรามที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงมาก ถ้าถูกกัดเข้าก็อาจเกิดแผลเหวอะหวะได้เลย 

ในเมืองไทยแม้อีกัวน่าจะเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศในถิ่นกำเนิดของเค้ามีความใกล้เคียงกับเมืองไทยเรา ดังนั้นเค้าพอหลุดสู่ธรรมชาติก็เลยสามารถแพร่พันธุ์ วางไข่ และเติบโตได้ไม่ยาก ลำพังแค่ตัวสองตัวคงไม่เท่าไหร่แต่สำหรับอีกัวน่าไม่ใช่เพราะเค้าแพร่พันธุ์ได้เร็ว ส่วนตัวเลยคิดว่า เมื่อไหร่ที่อีกัวน่าในธรรมชาติมีปริมาณมากๆ จนสามารถสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาได้ก็มีโอกาสแย่งที่อยู่อาศัย แย่งอาหารสัตว์ท้องถิ่น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และกลายเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ชนิดรุกรานแบบปลาหมอคางดำได้เหมือนกัน ดังนั้นภาครัฐควรต้องเร่งมาตรการแก้ไขก่อนจะลุกลามไปมากกว่านี้”

สำหรับความหมายของเอเลี่ยนสปีชีส์ชนิดรุกราน หรือชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานนั้น มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้นิยามว่า เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เข้ามาแล้วสามารถตั้งถิ่นฐานและมีการแพร่กระจายได้ในธรรมชาติ เป็นชนิดพันธุ์เด่นในสิ่งแวดล้อมใหม่ (dominant species) และเป็นชนิดพันธุ์ที่อาจทำให้ชนิดพันธุ์พื้นเมืองสูญพันธุ์ รวมถึงส่งผลคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพและก่อให้เกิดความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขอนามัย โดยมีหลักเกณฑ์ในการจัดระดับของการรุกรานไว้ 4 รายการ ดังนี้ 

รายการที่ 1  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว 

รายการที่ 2  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน 

รายการที่ 3  ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีประวัติว่ารุกรานแล้วในประเทศอื่นแต่ยังไม่รุกรานในประเทศไทย ปัจจุบันอีกัวน่าเขียวจะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งประเทศที่พบประวัติการรุกรานแล้ว ได้แก่ ประเทศเปอร์โตริโก รัฐฟลอลิดา รัฐฮาวาย รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไต้หวัน 

รายการที่ 4 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ยังไม่เข้ามาในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านหมู่ 3 บ้านห้วยบง เรากลับพบว่า อีกัวน่าเขียวเริ่มรุกรานชาวบ้านหลายครัวเรือนแล้วจริงๆ พี่วิษณุ ศรีมันตระ เล่าให้ฟังว่า 

“แต่ก่อนอีกัวน่าในหมู่บ้านยังไม่เยอะเท่านี้นะ มันชอบไปอยู่ตามยอดไม้ชายน้ำ แนวคลองมากกว่า แต่หลังๆ นี่ลามมาอยู่ในหมู่บ้าน กินพืชผักเสียหายหมด มะเขือ แตง บวบ ฟัก จนหลังๆ ไม่ต้องมีกินมีขายกันแล้ว ส่วนต้นไม้ใหญ่ก็ต้องระวังเหมือนกันเพราะมันชอบขึ้นไปนอนผึ่งแดด เผลอๆ ก็ขี้ลงมาใส่ ผมเคยโดนมันขี้ใส่จนเลิกผูกเปลนอนใต้ต้นไม้แล้ว

สุนัขถือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของอีกัวน่าเขียว ในภาพสุนัขสองตัวกำลังดมอีกัวน่าอย่างสนอกสนใจ

ลุงสุชาติ ป้าคัมภีร์ มะนาวหวาน เป็นอีกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของอีกัวน่าเขียว เล่าให้เราฟังว่า “ช่วงนี้แคเริ่มออกดอก เค้าก็เช้าลง เย็นลงเลย ไล่ทีก็หายไปที เดี๋ยวก็มาใหม่ ถ้าเก็บดอกแคทันก็ได้กิน ไม่ทันก็อดเหมือนพวกผักสวนครัวอื่นๆ นั่นแหละ ข้อดีอย่างเดียวคือ พวกนี้เค้าไม่ดุร้าย ไม่ทำร้ายใคร ถ้าไม่ไปกวนเค้าก่อน แต่ถ้าเจอหมาเป็นต้องโดนไล่ ถ้าหนีไม่ทัน หรือสู้ไม่ได้ก็โดนหมากัดตาย ในหมู่บ้านเท่าที่รู้มันโดนหมากัดตาย 20-30 ตัวแล้วนะ อย่างนี่เราเลี้ยงแมว ถ้ามันเจอแมวไล่ มันก็หนีเหมือนกัน”       

พลันสายตาเราก็เหลือบไปเห็นแสงสะท้อนบางอย่างหลังต้นแค มันคือ ต้นมะละกอที่กำลังออกลูกเต็มคอ แต่ลำต้นของมันกลับถูกล้อมด้วยสังกะสีแผ่นเขื่องไม่ใช่ลำต้นเปล่าเปลือยตามปกติ ลุงสุชาติเล่าว่า “แผ่นสังกะสีล้อมกันอีกัวน่าปีน ไม่อย่างนั้นมันจะขึ้นไปกินใบอ่อน ลูกอ่อน ไม่ก็เล่นกันจนใบหัก ยอดหงิกงอไปหมด แต่แรกๆ เรายังไม่รู้ก็แค่เอาสังกะสีแผ่นเล็กๆ มาล้อมให้มันลื่น ปีนไม่ได้ แต่ถ้าตัวใหญ่มามันก็กระโจนขึ้นสบาย เลยต้องหาแผ่นใหญ่ๆ มาล้อมก็พอจะกันได้ บางบ้านที่ปลูกผักเยอะๆ เค้าก็เอาสแลนล้อมบ้าง บางบ้านก็เดินลวดแล้วปล่อยไฟแบตแบบที่ใช้ช็อตวัว แค่พอให้มันสะดุ้งหนีไป วิธีพวกนี้ก็แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะมีกำลังไปซื้อหามา” 

หากหาแผ่นสังกะสีไม่ได้ การใช้แผ่นโลหะอื่นๆ ล้อมต้นไม้ ก็พอช่วยป้องกันไม่ให้อีกัวน่าเขียวปีนขึ้นไปได้เช่นกัน

รู้จัก “เชื้อแบคทีเรียซาโมเนลล่า” ในอีกัวน่า

มูลของอีกัวน่าเขียวที่เราเห็นตามพื้นดินใกล้โคนต้นไม้ ใต้ค้างปลูกผักสวนครัว หรือใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งพบทั้งที่ยังใหม่ๆ และโทรมแล้ว นอกจากจะบ่งบอกว่า เป็นพื้นที่ หรือเส้นทางที่อีกัวน่าเขียวใช้หากินแล้ว ในเชิงสาธาณสุขมูลเหล่านี้ยังเป็นสัญญาณเตือนของเชื้อแบคทีเรียซาโมเนลล่า (Salmonella) ได้ด้วย ทว่าในความเป็นจริงนั้น เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวกลับไปได้พบแค่ในอีกัวน่าเขียวเท่านั้น นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ เล่าให้เราฟังว่า 

เชื้อแบคทีเรียซาโมเนลล่า จริงๆ แล้วมีอยู่ในลำไส้สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด แม้แต่งู เต่า จิ้งจกบ้าน จิ้งเหลนก็มี นอกจากจะพบเชื้อนี้ได้มากในอุจจาระสัตว์เลื้อยคล้านแล้ว เรายังพบเชื้อนี้ตามลำตัวของสัตว์กลุ่มนี้ได้เช่นกัน พิษภัยของมันคือ หากไปสัมผัสเชื้อเข้าแล้วไม่ล้างมือให้สะอาด แต่ไปหยิบอาหารกินเลยก็มีโอกาสท้องเสีย หรือท้องร่วงได้ตามปริมาณเชื้อที่ได้รับ แต่ถ้าไม่ได้ไปสัมผัส โอกาสที่จะติดเชื้อจากเค้าถือว่าน้อยมาก 

ส่วนความกังวลเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพ ผมมองว่า ถ้าอีกัวน่ามีเยอะมากๆ อุจจาระก็ย่อมมีมากตามไปด้วย เมื่อฝนตกมีการชะล้างผิวดินเชื้อซาโมเนลล่าก็มีโอกาสปนเปื้อนตามแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคได้ แต่ถ้าปริมาณไม่ได้เยอะ พอลงน้ำไปมันก็เจือจางแล้ว โอกาสส่งผลกระทบต่อคนก็น้อย หรือยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างขี้จิ้งจก ถ้าเราเจอแค่ 1-2 ก้อนในห้องๆ หนึ่งก็จะรู้สึกว่าไม่ส่งผลอะไร แต่ลองเจอขี้จิ้งจกสัก 100 ก้อนขึ้นไปในห้องขนาดเท่าเดิมล่ะ แย่แน่ๆ”

มูลอีกัวน่าเขียวที่พบเห็นได้ตามโคนต้นไม้และพื้นดินที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง

เร่งจับอีกัวน่าเขียวออกจากพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

หลังได้รับรายงานการพบอีกัวน่าเขียวในธรรมชาติ รวมทั้งความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง จึงประสานงานให้เจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหา ตั้งแต่ พ.ศ.2565 เป็นต้นมา  

นายสดุดี พันธุ์ภักดี ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา เล่าให้เราฟังว่า “ด้วยจำนวนอีกัวน่าเขียวที่แพร่ระบาดในพื้นที่เขาพระยาเดินธง ลพบุรี มากขึ้น ทำให้กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญาจัดตั้งโครงการวิจัยและสำรวจการแพร่กระจายของอีกัวน่าเขียวขึ้นในปี 2567 พอเราเข้าไปดูในพื้นที่จริงก็พบว่า มันมีจำนวนมาก ชุมชนได้รับผลกระทบจริงทั้งระดับครัวเรือน ทั้งเชิงเกษตรแปลงใหญ่ แต่ยังอยู่ในระดับพอรับได้ 

เราเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปจับอีกัวน่าเขียวออกจากพื้นที่หลายครั้ง และปีหน้า (พ.ศ.2569) ก็ตั้งเป้าว่าจะต้องไปจับอีกัวน่าเขียวออกจากพื้นที่อีก เพราะถ้าไม่มีการจัดการจริงๆ ด้วยความที่อีกัวน่าเขียวมีความสามารถในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมบ้านเราได้ดี มีความสามารถในการแพร่พันธุ์ได้มาก เริ่มวางไข่ได้ตั้งแต่อายุ 2 ปี และจำนวนไข่จะสัมพันธ์กับความยาวของตัว ยิ่งตัวยาวปริมาณไข่ก็ยิ่งมาก เฉลี่ยการวางไข่ครั้งละ 20-70 ฟอง ดังนั้นอนาคตอีกัวน่าเขียวจะเพิ่มจำนวนขึ้นกว่านี้อีกเยอะ”

อีกัวน่าเขียวตัวสีใหญ่นอนผึ่งแดดอย่างสบายใจบนยอดต้นตาลที่มีความสูงจากพื้นไม่ต่ำกว่า 15 เมตร

รายงานผลการจับอีกัวน่าเขียวบริเวณพื้นที่หมู่ที่ 1, 2 และ 3 ตำบลพระยาเดินธง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2568 โดยกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เผยว่า จับอีกัวน่าได้ทั้งสิ้น 95 ตัว แบ่งเป็นตัวผู้ 54 ตัว ตัวเมีย 30 ตัว และวัยเด็กจำแนกเพศไม่ได้อีก 11 ตัว อีกทั้งสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษซึ่งออกปฏิบัติการพร้อมกัน ยังสามารถจับได้อีก 11 ตัว รวมเป็น 106 ตัว 

เมื่อประมวลผลกับจำนวนอีกัวน่าที่จับได้ก่อนหน้าพบว่า อีกัวน่าที่จับได้บริเวณชุมชนเขาพระยาเดินธงมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 310 ตัวด้วยกัน แบ่งเป็นตัวผู้ 113 ตัว ตัวเมีย 152 ตัว และวัยเด็กจำแนกเพศไม่ได้อีก 45 ตัว

ความพยายามของเจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานฯ ในการล้อมจับอีกัวน่าเขียว ด้วยการแบ่งทีมจับบนต้นไม้และทีมล้อมตาข่ายในสระน้ำ (ภาพ: กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช)
หลังได้ตัวมา อีกัวน่าเขียวทุกตัวจะถูกเจ้าหน้าที่พันธนาการขาทั้งสี่ข้างด้วยเคเบิ้ลไทร์เพื่อไม่ให้วิ่งหนีได้ (ภาพ: กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช)

นอกจากพื้นที่ลพบุรีแล้ว ข้อมูลล่าสุดพบการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียวในหลายจังหวัดของไทย ได้แก่ สวนนกชัยนาท จังหวัดชัยนาท สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี เขาใหญ่ จังหวัดนครนายก คำชะโนด จังหวัดอุดรธานี ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสระบุรี และเริ่มมีรายงานในจังหวัดเชียงใหม่และนครศรีธรรมราชแล้ว

นายสดุดียังเผยถึง ความน่ากังวลใจอีกอย่างของการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียวในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย “ที่เรากังวลใจคือ หากมีการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียวในเขตอนรักษ์ เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ขึ้นมาอาจกระทบต่อระบบนิเวศและสัตว์ป่า สัตว์ป่าคุ้มครองในพื้นที่นั้นๆ ได้ รวมทั้งการดำเนินการจับออกจากพื้นที่ก็ยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะพื้นที่เหล่านี้มีความกว้างใหญ่” 

มาตรการป้องกันอีกัวน่าเขียวล่าสุด

ปัญหาการแพร่ระบาดของอีกัวน่าเขียวดูท่าจะไม่หมดไปง่ายๆ หากไม่เร่งจัดการ ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า อีก 20-30 ปี ประเทศไทยจะตกอยู่ในสภาวะเดียวกับฟลอลิดา ไต้หวัน ไหม  

นอกจากกฎหมายสำหรับผู้ครอบครองสัตว์ป่าต่างประเทศที่ระบุว่า ผู้ครอบครองสัตว์ต้องไม่ปล่อยให้สัตว์ที่อยู่ในครอบครองเป็นอิสระ ซึ่งการปล่อยสัตว์ป่าควบคุมมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องเลี้ยงไปตลอดชีวิตและหากไม่ประสงค์จะเลี้ยง ให้แจ้งกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ใกล้พื้นที่ หรือจะแจ้งมาที่สายด่วนพิทักษ์ป่า 1362 แล้ว ปัจจุบันกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญายังมีมาตรการรองรับดังต่อไปนี้

“อีกัวน่าเขียวเป็นสัตว์ป่าควบคุมตาม พรบ.สงวนและควบคุมสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ปัจจุบันเรามีมาตรการห้ามนำเข้าอีกัวน่าเขียวแล้ว ขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมการส่งออกอีกัวน่าไปต่างประเทศมากๆ ส่วนผู้ที่ครอบครองอีกัวน่าเขียวอยู่ เราก็ขอความร่วมมือให้ลงทะเบียนครอบครองสัตว์ป่าดังกล่าว นอกจากเราจะช่วยให้ข้อมูลการดูแลที่เหมาะสมเพื่อสวัสดิภาพของสัตว์แล้ว ยังเป็นการติดตามการครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศด้วย ซึ่งก็มีผู้ให้ความร่วมมือพอสมควร ข้อมูลล่าสุดคือ ในไทยมีการเลี้ยงอีกัวน่าเขียวประมาณ 4,000-5,000 ตัว กระจายอยู่ใน 70 จังหวัด ปัจจุบันเราก็ยังยินดีรับรายงานอยู่เรื่อยๆ”

ผู้ใหญ่วิฑูร มะนาวหวาน เสนอแนวคิดรับซื้ออีกัวน่าเขียวจากชาวบ้านเพื่อเร่งลดจำนวนอีกัวน่าเขียวในพื้นที่ (ภาพ: วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์)

ในส่วนของหมู่บ้านห้วยบง ผู้ใหญ่วิฑูร เองก็มีแนวคิดช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่น่าสนใจไม่น้อย “ถ้าผมมีสตางค์มากๆ ก็อยากทำกรงใหญ่ๆ แล้วประกาศให้ชาวบ้านช่วยกันจับอีกัวน่ามาขายให้ผม ผมจะให้ราคาตามขนาดตัว ตั้งแต่ 5 – 100 บาทเลย พอรวบรวมได้เยอะๆ ก็จะเอาไปส่งให้หน่วยงานที่ดูแลจัดการต่อ ส่วนภาครัฐ ถ้าอยากช่วยเหลือชาวบ้านก็อาจเป็นเรื่องงบประมาณให้พวกเราซื้ออุปกรณ์ป้องกันอีกัวน่าก็ได้ เช่น พวกสแลน ตาข่าย สังกะสี เพราะต้องยอมรับว่า ชาวบ้านหลายคนที่เดือดร้อน เค้าก็ไม่มีกำลังมากพอจะจัดการเรื่องเหล่านี้จริงๆ ครับ”  

นอกจากมาตรการการควบคุมจำนวนอีกัวน่าเขียวในประเทศแล้ว ประชาชนเองก็สามารถให้ความร่วมมือได้เช่นกัน เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นการแก้ไขปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่แพร่ระบาดในธรรมชาติได้ตั้งแต่ต้นทาง

แม้อีกัวน่าเขียวจะไม่ใช่สัตว์แปลกสำหรับชาวบ้านห้วยบงอีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอยู่

ประชาชนอย่างเราทำอะไรได้บ้าง เพื่อลดจำนวนอีกัวน่าเขียวในธรรมชาติ

นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล ให้คำแนะนำกับเราว่า “การเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะสัตว์เลี้ยงทางเลือก หรือสัตว์เลี้ยงใดๆ สิ่งสำคัญคือ ตัวผู้เลี้ยงต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์นั้นๆ ให้ดี ถามตัวเองว่า เราชื่นชอบเขาจริงไหม เรา หรือครอบครัวมีความพร้อมในการเลี้ยงในระยะยาวหรือเปล่า เพราะอย่างตอนเล็กๆ ที่ซื้อมา ขนาดตัวก็ยังไม่มีปัญหาอะไร แต่พอโตเต็มที่บางตัวใหญ่ถึง 2 เมตร ก็เริ่มลำบากแล้ว ยิ่งถ้าหากเลี้ยงในคอนโดก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หลายคนเลยเลือกเอาไปปล่อยตามธรรมชาติ โดยไม่รู้ว่า สัตว์ต่างถิ่นสามารถส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศได้อย่างที่เราคาดไม่ถึง 

ที่ผ่านมาเคยมีคนเลี้ยงสัตว์เอ็กโซติกแล้วมีความจำเป็นต้องย้ายบ้าน เลี้ยงต่อไม่ได้ มาขอคำปรึกษาบ้าง  ผมก็จะแนะนำให้ “ส่งต่อ” หาบ้านใหม่ให้สัตว์ เพราะเชื่อว่า ยังมีหลายๆ คนที่อยากเลี้ยงแต่ยังไม่ได้ซื้อ พอมีคนส่งต่อ เค้าก็อาจสนใจรับไปเลี้ยงต่อก็ได้ เพียงแต่การส่งต่อก็ต้องเลือกส่งต่อไปบ้านที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ว่า พอเห็นของฟรีก็อยากได้ แต่พอได้ไปก็ดูแลไม่ดี”  

ดังนั้นการเลี้ยงสัตว์สักตัวจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แต่คือ การรับผิดชอบชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 ชีวิต ด้วยการเปลี่ยนสถานะตัวเองให้เป็นโลกทั้งใบของเขาไป หากยังไม่พร้อม ไม่แน่ใจ ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจเลี้ยงสัตว์น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด    

ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราต้องบอกลาบ้านห้วยบงแล้ว อยู่ๆ อีกัวน่าเขียวตัวเขื่องยาวประมาณเมตรเศษ แต่หางกุดสั้น ค่อยๆ เดินออกมาจากกอไผ่ก่อนจะหยุดนิ่งตรงกลางเนินดินที่แสงแดดเย็นทอดถึงพอดี 

“นั่นไง ไอ้ด้วน มันเป็นเจ้าถิ่นที่นี่ ชอบมานอนอาบแดดแถวเล้าไก่ สบายใจแล้วก็ไป แรกๆ ที่มันมาพวกไก่ก็ตกใจ ตื่นกันหมด หลังๆ พอเห็นบ่อยเข้าไก่มันก็น่าจะชินเหมือนกับพวกเรานี่แหละ ทำยังไงได้ ก็ต้องอยู่ต่อไปด้วยกันนี่แหละ ต่อให้จับยังไงก็ไม่หมดหรอก”  พี่วิษณุหัวเราะ

อีกัวน่าเขียวเจ้าถิ่นที่เรียกกันว่าเจ้าด้วน ไม่พลาดที่จะเดินออกมาโชว์ตัวเมื่อแดดล่มลมตก (ภาพ: วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์)

เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ 

ภาพ กรานต์ชนก บุญบำรุง


อ่านเพิ่มเติม :จาก “หอยเชอรี่” ถึง “ปลาหมอคางดำ”

บทสรุปสัตว์น้ำเอเลี่ยนสปีชีส์ในไทย ตอนนี้จัดการไปถึงไหนแล้ว?

 

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.