รถยนต์ไฟฟ้าจะผลักให้รถยนต์ที่ยังคงใช้แก๊สและน้ำมันค่อยๆ หายไป คำถามก็คือว่าอีกนานแค่ไหน? บางทีอาจเร็วกว่าที่คุณคิด จากการวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศร่วมกับมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ อ้างอิงจากการหมดความนิยมอย่างรวดเร็วของรถม้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นักวิจัยชี้ว่า ภายในปี 2040 นี้รถยนต์ส่วนตัวกว่า 90% ในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ยุโรปและในประเทศที่ร่ำรวยอื่นๆ จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหมด
ด้วยความมุ่งมั่นของนโยบายรัฐบาลและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เอง ในรายงานการศึกษาครั้งนี้พบว่ามีความเป็นไปได้ที่พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจะหมดไปจากภาคการขนส่ง ด้วยจำนวนรถยนต์จำนวน 1 พันล้านคันที่จดทะเบียนในปัจจุบัน มีเพียง 2 ล้านคันเท่านั้นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่หากรถยนต์ไฟฟ้าพัฒนาได้อย่างรวดเร็วตามการวิจัยจะสามารถลดการใช้น้ำมันลงได้ถึง 21 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้ 3.2 พันล้านตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 60% ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สหรัฐอเมริกาผลิตในปัจจุบัน
จากการศึกษาพบว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเปิดตัวช้าลง แม้ว่าเทรนด์ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมาแรงก็ตาม Bloomberg New Energy Finance คาดการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ในปี 2040 รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 35% เป็น 54% ด้าน RethinkX สถาบันวิจัยอิสระมองไกลกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่ารถยนต์ทุกคันในสหรัฐฯ จะเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหมด ในปี 2030 หรืออีก 13 ปีข้างหน้า
รายงานจาก IMF และ จอร์จทาวน์ในหัวข้อ “การเปลี่ยนผ่านของพลังงานขับเคลื่อน” ทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอย่างที่สำคัญเมื่อม้าเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ “พวกเราประหลาดใจมากที่พบว่ารถยนต์เข้ามาแทนที่ม้าได้เร็วแค่ไหน ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ” Fuad Hasanov นักเศรษฐศาสตร์จาก IMF กล่าว “มันเกิดขึ้นเพียง 10 – 15 ปี เท่านั้น แม้จะมีอุปสรรคหลายอย่างก็ตาม” อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับช่วงเวลานั้น อุปสรรคที่เกิดขึ้นกับการเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
ไม่มีปั๊มน้ำมัน มีแต่มูล
เมื่อปี 1910 สหรัฐอเมริกายังมีถนนลาดยางเพียงไม่กี่สาย และความกังวลต่อมาก็คือเมืองจะจัดการอย่างไรกับมูลม้าปริมาณมหาศาล ปั๊มน้ำมันเป็นสถานที่หายาก โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้นก่อสร้างกัน การเปลี่ยนจากรถม้ามาสู่การขับรถฟอร์ด โมเดล ที เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ว่าการนั่งบนรถยนต์จะมีความสะดวกสบายที่มากกว่าการนั่งบนอานม้า อย่างไรก็ตามรถฟอร์ด โมเดล ที มีราคาราวครึ่งหนึ่งของรถยนต์อเมริกันในปี 2015 ที่ขายกันในราคา 137,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีชาวอเมริกันเพียงไม่กี่คนที่ได้เป็นเจ้าของ
จากนั้นในปี 1921 ราคาของรถยนต์ฟอร์ด โมเดล ที ก็ตกลงเหลือประมาณ 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ รัฐบาลและบริษัทผู้ผลิตน้ำมันขยายถนนและโรงกลั่น ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ในปีนั้นมากขึ้นถึง 1 ล้านคัน และในปี 1925 พวกเขาสามารถขายรถยนต์ได้เกือบ 2 ล้านคันเลยทีเดียว
Hasanov และ Reda Cherif จาก IMF และ Aditya Pande จากจอร์จทาวน์คำนวณไว้ว่าปลายปี 2020 นี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะมีปริมาณคิดเป็นสัดส่วน 5% ของรถยนต์ทั้งหมด และเพิ่มเป็น 36% ในต้นปี 2040 บรรดานักวิจัยเรียกสิ่งที่จะเกิดขึ้นนี้ว่า “การยอมรับสถานการณ์อย่างช้าๆ”
สำหรับในกรณีของ “การยอมรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว” นักวิจัยยกตัวอย่างกรณีที่รถยนต์เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ปริมาณของม้าลดลง ตัวแปรหลักมาจากการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชนทำให้ผู้คนเลิกใช้ม้า พวกเขาไม่ได้ซื้อรถเลยทันที แต่หันมาใช้รถสาธารณะแทน
แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่มีการบูมของขนส่งมวลชนอีกแล้ว แต่การเปลี่ยนจากรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงมาสู่รถยนต์ไฟฟ้านั้นง่ายกว่าการเปลี่ยนจากม้ามาสู่รถยนต์เมื่อร้อยปีก่อนมาก ซึ่งผลการวิจัยของพวกเขาสอดคล้องกับอัตราการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านมา ในช่วงปี 2011 – 2015
โครงการวิจัยระบุว่า ในปลายปี 2020 นี้ 30% ของรถยนต์ในสหรัฐฯจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และในอีก 20 ปีข้างหน้า ปริมาณจะเพิ่มเป็น 93%
การคาดการณ์เหล่านี้อาจดูเป็นไปได้ยาก แต่พิจารณาจากกรณีของโทรศัพท์มือถือ จากตัวอย่างของ Cherif ในช่วงปี 1980 โทรศัพท์มือถือยังมีขนาดใหญ่ ราคาแพงและแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ไม่นาน ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในปี 2000 บรรดาบริษัทผลิตโทรศัพท์มือถือจะสามารถขายสินค้าของพวกเขาได้ 900,000 เครื่องต่อปี แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาสามารถขายได้ถึง 109 ล้านเครื่องเลยทีเดียว และในปี 2014 เทคโนโลยีที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อโทรศัพท์มือถือพัฒนาเป็นสมาร์ตโฟน
“การมาถึงของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าอาจดูเชื่องช้า หรือไม่น่าเป็นไปได้” Cherif กล่าว “จนกว่าจะผ่านจุดคงที่ได้ เมื่อนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากจะถูกผลิตออกมา”
กรณีฟิล์มโกดัก
รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น นิว โมเดล ทรีของเทสลา มีราคา 35,000 ดอลล่าร์สหรัฐ สามารถวิ่งได้ไกล 354 กิโลเมตร เมื่อชาร์จไฟเต็มที่ ซึ่ง Cherif กล่าวว่า นี่อาจเป็นเกณฑ์ของรถยนต์ไฟฟ้า ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน ปี 2016 ผู้คนจำนวน 400,000 คน วางเงินมัดจำจำนวน 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ในการสั่งจองรถยนต์รุ่นนี้ ตัวรถยนต์ยังไม่ถูกผลิตสู่ตลาดเป็นวงกว้างและเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รถยนต์รุ่นนี้จำนวน 100 คันแรก เพิ่งจะถูกผลิตออกมา
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 4 เดือนของปี 2016 ของบริษัทผลิตรถยนต์และโรงงานผลิตน้ำมันดูคล้ายคลึงกับ “กรณีโกดัก” บริษัทโกดักผู้ผลิตฟิล์มถ่ายภาพเคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก จนกระทั่งเมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพดิจิตอลเกิดขึ้นในปี 1975 สุดท้ายบริษัทล้มละลายให้กับเทคโนโลยีใหม่นี้ในปี 2010
ด้วยความกลัวว่าจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับโกดัก นั่นทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายพากันกระโดดลงมาในสนามแข่งขันของรถยนต์ไฟฟ้านี้ บริษัทวอลโว่ จากสวีเดน ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไฮบริดหรือชาร์จไฟเต็มรูปแบบภายในปี 2019 บริษัทจากัวร์ แลนด์โรเวอร์ ตั้งเป้าเดียวกันในปี 2020 ส่วนโฟล์กสวาเกนเตรียมเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 หรือแม้กระทั่งเจมส์ บอนด์ เองก็จะขับรถยนต์ไฟฟ้าของแอสตัน มาร์ติน ให้ได้เห็นกันในปี 2019 เช่นกัน
ด้านรัฐบาลเองก็ร่วมมือด้วย ประเทศนอร์เวย์เตรียมแบนการขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในปี 2025 นี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสเองให้คำมั่นเป้าหมายเดียวกันในปี 2040 ส่วนเยอรมนี บ้านเกิดของรถโฟล์กสวาเกน, เมอร์เซเดส เบนซ์และปอร์เช่ กำลังเตรียมพิจารณาประเด็นนี้อยู่เช่นกัน
ประเทศจีนประกาศแบนการขายเชื้อเพลิงน้ำมันและแก๊สแก่รถยนต์ แม้ยังไม่ได้กำหนดเวลาก็ตาม ทั้งนี้จีนเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยปริมาณ 20 ล้านคันต่อปี ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 40 แบบแล้วที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศจีน
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Piyush Goyal รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอินเดียคาดการณ์กับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกว่า รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะเริ่มวางจำหน่ายในอินเดียภายในปี 2030 นี้ แม้ว่าจะปราศจากข้อจำกัดจากรัฐบาลก็ตาม เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นสะอาดกว่า เงียบกว่า ใช้งานได้นาน และจะประหยัดมากกว่า
ในจีน อินเดีย และยุโรปตะวันตกมีมลพิษในอากาศเป็นแรงกระตุ้นไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า Albert Cheung นักวิเคราะห์จากบลูมเบิร์ก มองว่าหากรัฐบาลแสดงความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศน้อยลง ก็จะส่งผลให้การเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างช้าลงด้วย เพราะราคาพลังงานแก๊สที่ถูกประกอบกับการขาดการลงทุนสถานีชาร์จเป็นปัจจัยสำคัญ
แต่ในที่สุดแล้ว Cheung กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุดการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้า”
การปฏิวัติไปสู่ความเป็นอัตโนมัติ
Tony Seba นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผลักวิสัยทัศน์ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวไปอีกขั้น เขาระบุว่า ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้าจะมาถึงในปี 2020 นี้เท่านั้น แต่มันยังจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับอีกด้วย ผลการศึกษาจาก “พิจารณาการขนส่งใหม่ในปี 2020 – 2030” Seba และผู้ร่วมงานของเขาจาก RethinkX กล่าวว่า 95% ของรถยนต์โดยสารจะเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ในปี 2030
มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? หนึ่ง Seba ตั้งข้อสังเกตว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ในทุกวันนี้ เนื่องจากราคาของแบตเตอรี่ที่ถูกลง และปัจจัยสำคัญมาจากการผลิตและการดูแลรักษาที่ง่ายดายกว่า โดยชิ้นส่วนภายในมีเพียงแค่ 20 ส่วนเท่านั้น “ทุกวันนี้รถยนต์ไฟฟ้าเดินทางได้ไกลกว่า 200,000 ไมล์ และที่พวกเขาต้องการก็แค่เปลี่ยนยางล้อรถใหม่เท่านั้น” Seba กล่าว โดยรถยนต์รุ่นหนึ่งของเทสลาสามารถวิ่งได้ไกลถึง 500,000 ไมล์ ด้วยแบตเตอรี่อันเดิม
สอง ในอนาคตส่วนใหญ่ของยานพาหนะจะไม่ได้มีเจ้าของเป็นคน แต่เป็นบริษัทขนส่ง การเปลี่ยนจากรถยนต์ธรรมดาไปสู่รถยนต์ไร้คนขับจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยเฉพาะกับธุรกิจอย่าง UPS, FedEx, Uber และ Lyft ทุกวันนี้บรรดายานยนต์ไร้คนขับทั้งรถยนต์ขนส่งและรถยนต์สาธารณะกำลังถูกนำมาทดสอบในเมืองพิตต์สเบิร์ก, ฟีนิกซ์ และบอสตัน รวมถึงในสิงคโปร์, ดูไบ และเมืองอู่เจิ้นของจีน
ราคาคือปัจจัยหลักที่จะผลักให้ชาวอเมริกันละทิ้งการขับรถ Seba กล่าว รถยนต์ไฟฟ้าช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 4 เท่า แถมยังถูกกว่าการใช้เชื้อเพลิง แต่รถยนต์ไร้คนขับดียิ่งกว่า จากผลสำรวจโดยสมาคมรถยนต์ AAA เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลเสียค่าใช้จ่ายราว 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี สำหรับการขับเป็นระยะทาง 15,000 ไมล์ และส่วนใหญ่แล้ว 95% ของเวลาทั้งหมด รถยนต์ถูกจอดไว้เฉยๆ
ในมุมมองของ Seba จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 200 ล้านคันบนท้องถนนอเมริกันในปี 2030 ในจำนวนนี้หลายล้านคันจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ที่ใครก็ตามก็สามารถใช้บริการได้เพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น รถยนต์ไร้คนขับจะพาพวกเขาไปที่ไหนก็ได้ตามต้องการในราคาไม่กี่เพนนีต่อไมล์
“แทนที่จะใช้จ่ายเงิน 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปี สำหรับการขนส่งทางถนน แต่ละครอบครัวสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปีได้” Seba กล่าว “ไม่มีเหตุผลที่คุณต้องเป็นเจ้าของรถ ในเมื่อการเรียกใช้รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับมันถูกขนาดนั้น”
ว่าแต่จะยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่ หากรถยนต์เกี่ยวข้องกับความรู้สึก? อย่าลืมว่ารถยนต์เป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ชาวอเมริกัน ในปัจจุบันยังเป็นอยู่หรือไม่แต่ที่แน่ๆ ในอดีตรถม้าถูกใช้ในการบอกสถานะของเจ้าของมาแล้ว
โดย สตีเฟน เลฮีย์
อ่านเพิ่มเติม