ห่วงที่นักกีฬาดังค์บอลใส่เพื่อทำแต้มในกีฬาบาสเก็ตบอล แท้จริงแล้วพัฒนามากจากตะกร้าใส่ลูกพีช
ในปี 1891 เจมส์ ไนย์สมิธ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาอายุ 31 ปี ผู้สอนวิชาพลศึกษาที่ YMCA Training School ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ วิทยาลัยสปริงฟิลด์ เมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ คิดค้นกีฬาชนิดใหม่ขึ้น เพื่อให้เหล่านักเรียนได้มีส่วนร่วมในวันที่อากาศหนาวเย็นอย่างรุนแรง และถูกบังคับให้อยู่แต่ภายในอาคารเป็นเวลาหลายวัน จากสาเหตุพายุนิวอิงค์แลนด์ที่โหมกระหน่ำ
ตามปกติแล้วกิจกรรมกีฬาฤดูหนาว คือ การเดินขบวน การเพาะกาย และการออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์ ทว่ามันก็ไม่ได้สร้างความน่าตื้นเต้นเทียบเท่ากับฟุตบอลหรือลาครอสที่เล่นในช่วงฤดูร้อนแต่อย่างใด
ไนย์สมิธต้องการสร้างกีฬาที่เข้าใจง่าย แต่มีความสลับซับซ้อนมากพอที่จะน่าสนใจ สามารถแข่งขับได้ภายในสถานที่ร่ม และรองรับผู้เล่นจำนวนหลายคน อีกทั้งยังเอื้ออำนวยต่อการออกกำลังกายอย่างเพียงพอของเหล่านักเรียน นอกจากนี้ต้องไม่มีการกระทบกระทั่งทางร่างกายแบบฟุตบอลหรือรักบี้ เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หากเล่นในพื้นที่ปิด
ไนย์สมิธหวังว่าเขาจะได้กล่องสี่เหลี่ยม 2 ใบ จากภารโรง เพื่อใช้เป็นประตูสำหรับทำแต้ม เมื่อภารโรงกลับมาจากการค้นของ สิ่งที่เขาได้กลับกลายเป็นตะกร้าใส่ลูกพีช
ไนย์สมิธตอกตะกร้าลูกพีชไว้ที่ราวด้านล่างของระเบียงโรงยิม ฝั่งละ 1 อัน ในความสูง 10 ฟุต นักเรียนจะเล่นเป็นทีมเพื่อพยายามเอาลูกบอลใส่เข้าไปในตะกร้าของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะมีคนประจำอยู่ที่แต่ละด้านของปลายระเบียงเพื่อนำลูกบอลออกจากตะกร้า
การแข่งขันครั้งแรกระหว่างนักเรียนคือการทะเลาะวิวาทโดยสมบูรณ์
“เด็กผู้ชายเริ่มมีการกระแทก เตะ ต่อย และจบลงด้วยการตะลุมบอนกันบนพื้นสนามกลางโรงยิม ก่อนที่ฉันจะแยกพวกเขาออกจากกัน” ไนย์สมิธกล่าวในรายการวิทยุของ WOR ในนิวยอร์กที่เรียกว่า We the People เดือนมกราคม ปี 1939 บันทึกซึ่งเป็นที่รู้จักเพียงอันเดียวของเขา
“เด็กผู้ชายคนหนึ่งถึงกลับล้มลงไปกองกับพื้น หลายคนมีรอยเขียวช้ำที่ตา และหลายคนไหล่หลุด” ไนย์สมิธกล่าว “หลังจากการแข่งขันครั้งแรก ฉันกลัวว่าพวกเขาจะฆ่ากัน แต่พวกเขายังคงรบเร้าฉันให้จัดการแข่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นฉันจึงสร้างกฎเพิ่มขึ้นมา”
จุดเริ่มต้นอันต่ำต้อยของกีฬาอาชีพเพียงชนิดเดียวที่กำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ได้วางรากฐานสำหรับธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน การแข่งขันบาสเก็ตบอลระดับวิทยาลัย March Madness ของสมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (NCAA) ในปัจจุบัน ประกอบไปด้วยทีมที่ดีที่สุด 68 ทีมจาก 1,000 กว่าวิทยาลัย สนามกีฬาที่รองรับผู้ชมนับหมื่น และผลกำไรมากมายจากสัญญาการถ่ายทอดทางโทรทัศน์
ไนย์สมิธไม่ได้สร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมาในทีเดียว แต่แก้ไขมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ 13 กฎดั้งเดิม บางกฎยังคงถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันในปัจจุบัน กฎดั้งเดิมของไนย์สมิธถูกขายในการประมูลปี 2010 ที่ราคา 4.3 ล้านดอลลาร์
ในกฎดั้งเดิม : ลูกบอลสามารถโยนไปในทิศทางใดก็ได้ด้วยมือเดียวหรือทั้งสองข้าง แต่ไม่ใช่โดยกำปั้น ผู้เล่นไม่สามารถวิ่งไปกับบอลได้ แต่ต้องโยนจากจุดที่ได้รับ ผู้เล่นไม่ได้รับอนุญาตให้ผลัก สกัด หรือโจมตีฝ่ายตรงข้าม การทำผิดครั้งแรกถือเป็นฟาวล์ หากเกิดการฟาวล์ครั้งที่สองขึ้น ผู้เล่นคนนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงเล่นจนกว่าจะมีการทำคะแนนเกิดขึ้น แต่ถ้าหากมีหลักฐานว่าตั้งใจทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ผู้เล่นคนนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงเล่นตลอดระยะเวลาการแข่งขัน
กรรมการจะทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินการแข่งขัน ตั้งแต่จดการฟาวล์ ไปจนถึงมีอำนาจในการตัดสิทธิ์นักกีฬา พวกเขาเป็นผู้ตัดสินเมื่อลูกบอลอยู่ในสนาม และตัดสินว่าฝั่งไหนควรได้บอล รวมไปถึงการจัดการเวลา นอกจากนี้กรรมการยังคอยติดตามเพื่อดูการทำแต้ม และตัดสินว่าเมื่อใดที่นับเป็นการทำแต้ม
หากทีมใดทำฟาวล์ครบ 3 ครั้ง ทีมตรงข้ามจะได้รับอนุญาตให้ทำแต้ม หรือที่ในปัจจุบันเรียกว่า ลูกโทษ
การทำแต้มเกิดขึ้นเมื่อบอลถูกโยนหรือปัดจากพื้นเข้าสู่ในตะกร้า หากลูกบอลอยู่บนขอบ แล้วฝ่ายตรงข้ามขยับตะกร้าจะถือว่าได้แต้มในทันที เมื่อลูกบอลออกนอกเขตสนาม มันจะถูกโยนเข้ามาโดยผู้เล่นที่สัมผัสเป็นคนแรก ผู้เล่นที่กำลังโยนบอลมีเวลาทั้งสิ้น 5 วินาที หากถือไว้นานเกินกว่านั้น บอลจะกลายเป็นของฝ่ายตรงข้ามในทันที ในกรณที่เกิดข้อพิพาท กรรมการจะเป็นผู้โยนบอลเข้าสู่สนามโดยตรง หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถ่วงเวลาหรือทำให้การแข่งขันล่าช้า ผู้ตัดสินจะให้ฟาวล์แก่ฝ่ายนั้นในทันที
ระยะเวลาของการแข่งขันนับเป็นครึ่งแรกและครึ่งหลัง ครึ่งละ 30 นาที แบ่งเป็น 15 นาทีสองครั้ง โดยจะพักครั้งละ 5 นาที ทีมที่ทำแต้มได้มากที่สุดในเวลาที่กำหนดจะเป็นผู้ชนะ หากเกิดการเสมอกันจะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการทำแต้มเกิดขึ้น
วันที่ 12 มีนาคม ปี 1892 การแข่งขันบาสเกตบอลสาธารณะครั้งแรกในโรงยิมของ YMCA และได้รับการบันทึกโดยสปริงฟิลด์รีพับลิกัน เป็นการแข่งขันระหว่างอาจารย์และนักเรียน ผู้ชมราว 200 คน เข้าร่วมเพื่อค้นพบกีฬาใหม่ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน
ในเรื่องราวที่เผยแพร่โดยรีพับลิกัน เหล่าอาจารย์ได้รับการชื่นชมในเรื่องของ “ความคล่องแคล่ว” แต่ “ความช่างสังเกต” คือสิ่งที่ทำให้เหล่านักเรียนสามารถเอาชนะเหล่าอาจารย์ได้ด้วยจำนวน 5-1 เกม
ภายในไม่กี่สัปดาห์ ความนิยมของกีฬานี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นักเรียนในโรงเรียนแห่งอื่นได้แนะนำกีฬานี้ให้แก่ YMCA ของพวกเขา กฎดั้งเดิมถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารของวิทยาลัย ซึ่งถูกส่งไปยัง YMCA ทั่วประเทศ
และด้วยนักศึกษาต่างชาติที่เป็นตัวแทนของวิทยาลัย กีฬานี้จึงได้รับการแนะนำให้รู้จักในอีกหลายประเทศ หลังจากนั้นโรงเรียนมัธยมจึงเริ่มนำกีฬานี้เข้ามา และในปี 1905 บาสเก็ตบอลถูกยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะกีฬาฤดูหนาว
การแข่งขันบาสเก็ตบอลของวิทยาลัยครั้งแรกระหว่างสองสถานศึกษาเกิดข้อพิพาทขึ้น ตามข้อมูลของ NCAA ในปี 1893 บทความในหนังสือพิมพ์ของวิทยาลัยทั้งสองฉบับได้ตีพิมพ์บันทึกการแข่งขันบาสเก็ตบอลของวิทยาลัยทั้งสองซึ่งเป็นปฏิปักษ์กันแบบแยกต่างหาก
ในปี 1892 ไม่ถึง 1 ปี ที่ไนย์สมิธสร้างกีฬานี้ขึ้นมา เซนดรา เบอเรนสัน อาจารย์สอนยิมนาสติกประจำวิทยาลัยสมิธ ได้แนะนำกีฬานี้ให้แก่นักกีฬาหญิง โดยการแข่งขันครั้งแรกของมหาวิทยาลัยสตรีที่ถูกบันทึกไว้เป็นการแข่งขันระหว่าง มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กับ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กลีย์ ในปี 1896
ด้วยความนิยมที่เติบโตขึ้นจึงได้รับแจ้งจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล และได้รับการแนะนำในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1904 ที่เมืองเซนต์หลุยส์ ในฐานะกีฬาสาธิต จนกระทั่งปี 1936 บาสเก็ตบอลได้รับการยอมรับให้เป็นการแข่งขันชิงเหรียญอย่างเป็นทางการ ในทางกลับกันบาสเกตบอลหญิงไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการแข่งขันชิงเหรียญโอลิมปิกจนกระทั่งปี 1976 ในการแข่งขันที่มอนทรีออล
ในขณะที่กีฬากำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว สมาคมกีฬาอาชีพก็เริ่มก่อตัวขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา สมาคมอาชีพแรกของบาสเก็ตบอลคือ สมาคมบาสเก็ตบอลแห่งชาติ (NBL) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1898 ประกอบไปด้วย 6 ทีมจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทว่ากลับมีอายุเพียง 5 ปี หลังจากที่ล่มสลายลงในปี 1904 สมาคมได้รับการรื้อฟื้นอีกครั้งในอีกในปี 1937 หรือก็คือ 33 ปี ต่อมา พร้อมด้วยระบบการสนับสนุนใหม่ทั้งหมดจากบริษัทกู๊ดเยียร์ บริษัทไฟเออร์สโตน และบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ในฐานะเจ้าของสมาคมและอีก 13 ทีม
ในขณะที่สมาคมกีฬาอาชีพได้รับความสนใจจากทั่วประเทศ บาสเก็ตบอลระดับวิทยาลัยก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน การแข่งขันครั้งแรกของสมาคมกีฬาระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (NCAA) ประกอบไปด้วย 8 ทีม จัดขึ้นในปี 1939 ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น โดยมหาวิทยาลัยออริกอนสามารถเอาชนะมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต และกลายเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศไปได้
ในช่วงกลางยุค 1900 เช่นเดียวกันกับส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา บาสเก็ตบอลเกิดการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ และไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน จนกระทั่ง ชัค คูเปอร์ ถูกคัดเลือกเข้าสู่ทีมบอสตันเซลติค แต่ก่อนที่คูเปอร์จะถูกคัดเลือกนั้นมีกลุ่มของทีมคนผิวสีอยู่ทั่วประเทศ
รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “the black fives” ซึ่งกล่าวถึง 5 ผู้เล่นตัวจริงในทีมบาสเก็ตบอล ซึ่งพวกเขามักจะถูกเรียกว่า แฝด 5 ทางสีผิว หรือ กรงขังนิโกร ทีมเหล่านั้นรุ่งโรจน์ในเมืองนิวยอร์ก, กรุงวอชิงตัน ดี.ซี., พิตต์สเบิร์ก, ฟิลาเดลเฟีย, ชิคาโก และในเมืองอื่น ๆ ที่มีประชากรชาวแอฟริกันอเมริกันเป็นจำนวนมาก พวกเขาเป็นทั้งมือสมัครเล่น กึ่งมืออาชีพ และมืออาชีพ
จากทีมบาสเกตบอลวิทยาลัยมากกว่า 1,000 ทีม ในทุก ๆ กลุ่มของ NCAA มีเพียง 68 ทีมที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขัน March Madness ประจำปีนั้น ทีมวิทยาลัยที่ดีที่สุดจากแต่ละฝั่งทั่วประเทศแข่งขันกันเพื่อเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แล้วจึงแข่งกันต่อจนเหลือเพียงแค่ 8 ทีม ซึ่งจะมีเพียง 4 ทีมเท่านั้น ที่จะได้เข้าไปแข่งในรอบไฟนอล และจบลงด้วยการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้ชนะเลิศ
แม้ว่าในปัจจุบันบาสเก็ตบอลจะไม่ได้แข่งกันในแบบที่ ไนย์สมิธ เคยคิดค้นมันขึ้นมา ตะกร้าเก็บลูกพีชถูกแทนที่ด้วยห่วงตาข่าย ขอบห่วงที่ทำจากโลหะ และกระดานจอแก้ว ทำให้กล่าวได้ว่าวิวัฒนาการนี้เองที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การแข่งขันบาสเก็ตบอลนั้นอยู่เหนือกาลเวลานับศตวรรษ
เรื่อง TUCKER C. TOOLE
แปลและเรียบเรียง พัทธนันท์ สวนมะลิ
(โครงการสหกิจศึกษากองบรรณาธิการเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย)
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ สเก็ตบอร์ด: กีฬาเหินหาว