“เราตัดสินใจที่จะไม่มีลูก ชีวิตหลังจากนี้จะมีแต่ภูเขาไฟ ภูเขาไฟ และภูเขาไฟ”
คำปฏิญาณนี้แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่อันแรงกล้าของคู่รักนักภูเขาไฟวิทยาอย่าง เคเทีย และ มอริส คราฟต์ ที่อุทิศเวลาชีวิตทั้งหมดไปกับการเฝ้ามอง บันทึกภาพและศึกษาภูเขาไฟอย่างใกล้ชิด
พวกเขาพากันลัดเลาะตามแนวภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcano) และเฝ้ามองการประทุของพวกมันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ผลผลิตจากเมล็ดพันธุ์แห่งความลุ่มหลงและบ้าบิ่นนี้ถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ทัณฑ์รักจากลาวา (Fire of love)” โดย National Geographic กำกับโดย ซาร่า โดซ่า เพื่อนำเสนอความน่าเกรงขามของปรากฏการณ์ธรรมชาติไปจนถึงความรักอันเร่าร้อนของมนุษย์
สัญชาตญาณของมนุษย์สั่งสอนให้เรารักตัวกลัวตายไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตาม เพียงกลั้นหายใจจนถึงจุดหนึ่งที่เราเริ่มทนไม่ไหว กลไกร่างกายก็จะเคลื่อนไหวเหนืออำนาจจิตใจแล้วสั่งให้เราหายใจเข้าเพื่อนำเอาออกซิเจนแลกเปลี่ยนกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปอด สมองสั่งให้เรากลัวความสูง ความมืด หรือสิ่งที่เป็นอันตรายเพื่อกีดกันเราออกจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตอาจดับสูญ
ทว่า สัญชาตญาณมนุษย์นี้กลับพ่ายแพ้ให้กับความสงสัยใคร่รู้ของเคเทียและมอริส คู่รักทั้งสองสวมใส่ชุดทนความร้อนอลูมิไนซ์เผชิญหน้ากับลาวาสีแดงที่พวยพุ่งออกมาจากปากภูเขาไฟ ทั้งคู่ดูเหมือนกับตัวการ์ตูนสวมชุดประหลาดที่กำลังเดินเล่นอย่างสนุกสนานในโลกแฟนตาซีสีสันสดใสเมื่ออยู่บนจอภาพยนตร์ เพียงแต่ฉากหลังสีแดงสวยนี้มิใช่โลกจำแลงที่เกิดจากจินตนาการของผู้คนเหมือนในหนังแฟนตาซี แต่เป็นหินหลอมเหลวอุณหภูมิกว่า 800 – 1,100 องศาเซลเซียสที่สามารถหลอมกายเนื้อมนุษย์ในชั่วพริบตา
ในขณะที่ผู้ชมอย่างเรากำลังฉงนว่าคนประเภทไหนกันที่บ้าบิ่นจนไม่เห็นความสำคัญของชีวิตตนเอง พวกเขาก็ตอบกลับความสงสัยด้วยการประกาศตัวตนว่า “เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเกิดมาเพื่อตั้งคำถาม และพิสูจน์มันด้วยชีวิตอันแสนสั้น” พวกเขาคลายความกังวลใจของผู้ชมด้วยการเล่าว่าลาวาสีแดงนั้นไม่อันตรายอย่างที่เห็น เพราะมันมีทิศทางการไหลไปตามแนวภูเขาซึ่งสามารถคาดเดาได้ง่าย ความสงบนิ่งของน้ำเสียงผู้บรรยาย ผนวกกับท่าทีการเดินที่ระแวดระวัง มั่นคง ไม่ตื่นตระหนก แสดงถึงความช่ำชองของพวกเขาที่มีต่อมัจจุราชแห่งธรรมชาตินี้เป็นอย่างดี
ท้าทายเพลิงแห่งความพิโรธ
การเติบโตท่ามกลางยุคแห่งสงครามส่งผลให้เคเทียและมอริสชิงชังความโลภของมนุษย์เป็นทวีคูณ การช่วงชิง เข่นฆ่า และกระหายการยึดครองได้บั่นทอนกำลังใจในการใช้ชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง แต่แล้ว พวกเขาก็ได้พบกับประกายความหวังอีกครั้งเมื่อได้ประจันหน้ากับการประทุของภูเขาไฟ ทั้งสองให้คำนิยามการระเบิดนี้ว่าเป็นเหมือน “ความโกรธของโลก” ที่สามารถลบเลือนความโกรธแค้นจนถึงความเลวทรามของมนุษย์ไปจากใจของเคเทียและมอริสจนหมดสิ้น เพลิงพิโรธของโลกเข้ามาปลอบประโลมจิตใจของทั้งสองว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเล็กจ้อยเพียงใดเมื่อเทียบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าเกรงขามนี้
เคเทียและมอริสได้ให้นิยามการระเบิดของภูเขาไฟมีพลังไว้ว่ามันเหมือนกับการเฝ้ารอระเบิดที่เราไม่รู้ความยาวสายชนวน พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอและสร้างเครือข่ายกับชาวท้องถิ่นนับไม่ถ้วนเพื่อรับข้อมูลการระเบิดอย่างทันท่วงทีและได้รับสิทธิเศษในการรับชมปรากฏการณ์แสนอันตรายนี้อย่างใกล้ชิดในจุดที่จัดเตรียมไว้เพื่อพวกเขาเท่านั้น ภาพและวิดีโอที่พวกเขาบันทึกด้วยกล้องฟิล์ม SLR และกล้องฟิล์ม 16 มม. จึงถือเป็นวัตถุดิบที่หาดูได้ยากและต้องใช้ความรู้อย่างมากในการบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าว
แม้ประกายแห่งความหวังจะถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เคเทียและมอริสก็ยังไม่พบเป้าหมายชีวิตอื่นนอกเหนือจากศึกษาและค้นคว้าตามความใคร่รู้ของตัวเอง จนกระทั่งได้พบกับเหตุโศกนาฏกรรมการระเบิดของภูเขาไฟเนวาโดเดลรูอิซ ประเทศกัมพูชา ซึ่งคร่าชีวิตกว่า 25,000 คน ความพิโรธของโลกอันน่าหลงใหลในครั้งนั้นได้สั่นสะเทือนอารมณ์ของนักวิทยาศาสตร์ทั้งสอง และในขณะเดียวกันก็ได้จุดประกายความตั้งใจอันแรงกล้าที่อยากจะช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชแห่งธรรมชาตินี้
ความเร่าร้อนของนักภูเขาไฟ
โดซ่าเล่าเรื่องราวของภูเขาไฟไปพร้อมๆ กับ ความสัมพันธ์ของเคเทียและมอริส หนังเล่าถึงการพบเจอและการตกหลุมรักอย่างเรียบง่าย ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับแน่นแฟ้นจนสามารถเคียงข้างกันตลอดสมรภูมิแห่งภูเขาไฟกว่าร้อยลูก จะมีใครอีกบ้างที่เลือกทุ่มชีวิตและตายท่ามกลางกองเพลิงโดยที่ยังมีคู่ชีวิตเคียงข้างจนวาระสุดท้าย เพลิงร้อนของลาวาสีแดงที่อยู่เบื้องหลังทั้งคู่เป็นเหมือนพยานแห่งความรักอันเร่าร้อนที่เคเทียและมอริสมีให้กันซึ่งไม่แพ้ความลุ่มหลงที่พวกเขามีให้กับภูเขาไฟเลยแม้แต่น้อย จนถึงกับมีคนกับนิยามทั้งสองว่าเป็นโรมิโอกับจูเลียตในรูปแบบของนักวิทยาศาสตร์
นอกเหนือจากภาพและวิดีโอของภูเขาไฟอันน่าสะพรึงแล้ว เคเทียและมอริสยังไม่ลืมที่จะบันทึกเรื่องราวระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นกระรอกน้อยที่โผล่เข้ามาทักทาย การเล่นผลุบโผล่ตรงช่องหิน จนถึงการเตรียมมื้ออาหารสุดพิเศษอันน่าตลบขบขันโดยใช้ความร้อนจากภูเขาไฟ แม้สิ่งที่พวกเขามองหาและต้องการนำเสนอให้โลกรู้จะเป็นเรื่องของความยิ่งใหญ่ของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ กลับพาให้เราเห็นถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไปในเวลาเดียวกัน
ภาพและวิดีโอของภูเขาไฟนับ 100 ชั่วโมงที่อยู่ในคลังสะสมของมอริสถูกนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างประณีตควบคู่ไปกับโดยใช้เสียงพากย์ที่สุขุมนุ่มลึกและไม่ปลุกเร้าอารมณ์จนเกินไป การนำเสนอมุมมองในการใช้ชีวิตและเรื่องราวความรักของทั้งสองที่มีต่อภูเขาไฟนั้นดำเนินอย่างตรงไปตรงมา การลำดับภาพถูกออกแบบอย่างออกมาอย่างพิถีพิถันจนได้รับรางวัลรางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังซันแดนซ์ ความอุตสาหะและความมุ่งมั่นของทั้งสองที่ตั้งใจจะปกป้องมนุษยชาติจากภูเขาไฟนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้โดซ่าเลือกที่จะดำเนินเรื่องราวของพวกเขาโดยอิงจากความสมจริง ไม่หวือหวาและสง่างาม ราวกับว่ากำลังแสดงความเคารพต่อคู่รักทั้งสองตลอดเวลา 100 นาทีบนจอภาพยนตร์
เรียบเรียงโดย : พิชามญชุ์ สุวรรณธวัช
โครงการสหกิจศึกษากองบรรณาธิการเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย