อาหารญี่ปุ่น – ปัจจุบัน การรับรู้ที่ลดลงและภาวะสมองเสื่อมต่างส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 55 ล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าตัวเลขนี้จะพุ่งสูงขึ้นอีกในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า เมื่อประชากรโลกมีอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ
ที่ผ่านมา นักวิจัยรู้ว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่เชื่อมโยงกับภาวะเสื่อมถอยนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความบกพร่องทางพันธุกรรม และปัจจัยภายนอกที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้เช่น การสูบบุหรี่ โรคอ้วน และการไม่ออกกำลังกาย ต่างเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อภาวะสมองเสื่อม
ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านโภชนาการก็ได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว และดูเหมือนว่าจะมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการเสื่อมถอยนี้ เมื่อไม่นานที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบประโยชน์ของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนโดยพบว่า อาหารประเภทนี้ส่งผลเชิงบวกต่อสมองในด้านต่าง ๆ เช่นปริมาตรทั้งหมด ความหนาแน่นของเยื่อหุ้มสมอง และความสมบูรณ์อื่น ๆ
แต่ล่าสุด งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร Nutrition เผยให้เห็นว่าไม่ใช่แค่อาหารเมดิเตอร์เรเนียนเท่านั้นที่ดีต่อสมอง แต่ยังมี “อาหารญี่ปุ่น” ซึ่งก็ดูเป็นที่ชื่นชอบของชายไทยหลายคนด้วยเช่นกัน
“ผลการศึกษาล่าสุดของเราชี้ให้เห็น ว่าการรับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม อาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสมอง และอาจดีกว่าการรับประทานอาหารตะวันตกทั่วไปด้วย” ซู ซาง (Shu Zhang) นักวิจัยด้านระบาดวิทยาทางโภชนาการจากศูนย์ผู้สูงอายุแห่งชาติ ญี่ปุ่น กล่าว
ชาวญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในด้านอายุที่ยืนยาวและสุขภาพดีมาอย่างช้านาน ตัวอย่างเช่นใน จ. โอกินาวา ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศนั้น มีผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไปเป็นจำนวนมากกว่าที่ใดในโลก และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของพวกเขา
อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโดยทั่วไปนั้นจะมีส่วนผสมเฉพาะ เช่น ข้าว ปลา หอย และผลไม้ (โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว แต่สิ่งที่ทำให้จานอาหารนี้มีเอกลักษณ์ก็คือ มิโซะ สาหร่ายทะเล ผักดอง ชาเขียว ถั่วเหลือง และเห็ด สิ่งสำคัญก็คืออาหารญี่ปุ่นจะมีการบริโภคเนื้อแดงในปริมาณน้อยไปถึงน้อยมาก
“น่าสนใจว่าอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมนี้ถือเป็นนิสัยทางวัฒนธรรม มากกว่าอาหารที่ออกแบบมาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่นการลดน้ำหนัก” จิโอวานนี ซาลา (Giovanni Sala) อาจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล กล่าว “มันเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นจำนวนมากชอบรับประทานอาหารนี้บนโต๊ะอาหารกันเป็นประจำ”
ในการศึกษา ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวญี่ปุ่นจำนวน 1,636 คนที่มีอายุระหว่าง 40 ถึง 89 ปี โดยให้ผู้เข้าร่วมบันทึกทุกสิ่งที่รับประทานพร้อมกับถ่ายรูปบันทึกจานอาหารก่อนและหลังของแต่ละมื้อว่ากลุ่มตัวอย่างกินไปมากน้อยแค่ไหน
จากนั้นรวบรวมข้อมูลทั้งคู่เข้าด้วยกันเพื่อคำนวณปริมาณอาหารในแต่ละวันของแต่ละคน ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยให้ทีมวิจัยเข้าใจพฤติกรรมการกินตามปกติของกลุ่มตัวอย่างได้ดีขึ้น
จากบันทึกทั้งหมด ทีมงานพบว่าผู้เข้าร่วมงานวิจัย 589 คนมีการรับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ขณะที่อีก 697 คนมีการรับประทานอาหารแบบตะวันตกทั่วไป ซึ่งเป็นการกินคาร์โบไฮเดรตขัดสี อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
และผู้เข้าร่วมที่เหลือ 350 คน ได้รับประทานอาหารจากพืช (ธัญพืช ผัก และผลไม้) และผลิตภัณฑ์จากนมในปริมาณที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย “เราตั้งชื่อวิธีการกินแบบนี้ว่า ผัก-ผลไม้-นม” ทีมงานกล่าว
ต่อมา ทีมวิจัยได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยการดำเนินชีวิตและสุขภาพอื่น ๆ รวมถึงความบกพร่องทางพันธุกรรมต่อภาวะสมองเสื่อม การสูบบุหรี่ ระดับการออกกำลังกาย และโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอยู่ (เช่นโรคหลอดเลือดสมองหรือเบาหวาน) เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถควบคุมการทดสอบให้เชื่อมโยงไปยังอาหารเพียงอย่างเดียว
จากนั้นทีมงานก็ได้วิเคราะห์การอัตราการหดตัวของสมองหรือกล่าวอีกนัยว่า ‘สมองลีบ’ หรือการสูญเสียระบบประสาท ว่าเป็นไปอย่างรวดเร็วแค่ไหนในช่วงเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณทั่วไปของภาวะสมองเสื่อมด้วยการสแกน MRI
รายงานระบุว่า ผู้หญิงที่รับประทานอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมีการหดตัวของสมองน้อยกว่าในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา 2 ปี เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่รับประทานอาหารประเภทตะวันตก กลับกัน ยังไม่มีความชัดเจนในกลุ่มที่กินอาหารแบบ ‘ผัก-ผลไม้-นม’ โดยทีมวิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะมีกลุ่มตัวอย่างนี้อยู่จำนวนน้อย จึงไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้
“สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลกระทบนี้ปรากฏเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น ไม่มีความแตกต่างในเรื่องปริมาณสมองหดตัวในผู้ชายที่รับประทานอาหารแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เมื่อเทียบกับผู้ชายที่รับประทานอาหารประเภทอื่น” ซู ซาง กล่าว
รายงานไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น แต่ทีมวิจัยเชื่อว่าอาจมีเหตุผลบางประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะสารอาหารบางชนิดอย่างแมกนีเซียมและเอสโตรเจน ที่พบในปลา หอย เมล็ดธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว ดูเหมือนจะมีผลในการปกป้องสมองของผู้หญิงได้ดีกว่า
กลับกัน ผลกระทบนี้ก็อาจสามารถอธิบายได้ด้วยนิสัยในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างเพศเช่น ผู้ชายมักมีแนวโน้มสูบบุหรี่มากกว่าผู้หญิง อีกทั้งยังกินอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมน้อยกว่า และหันไปบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และดื่มแอลกอฮอลมากกว่าผู้หญิง ทำให้มีอัตราการหดตัวของสมองมากกว่า
ทีมงานยังเสริมอีกว่า อาหารญี่ปุ่นมีประโยชน์ในอีกหลายด้าน และส่วนใหญ่ต่างก็อุดมไปด้วยวิตามิน โพลีฟีนอล (Polyphenols) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งสารเหล่านี้ต่างขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์การต้านการอักเสบ
“ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว หมายความว่าส่วนประกอบเหล่านี้ช่วยให้สมองและเซลล์ประสาททำงานได้ดีที่สุด” รายงานระบุ “ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่เพื่อยืนยันการค้นพบของเราเท่านั้น แต่ยังเพื่อระบุเหตุผลของความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง ในเรื่องอาหารและสุขภาพสมองที่พวกเขาชื่นชอบ”
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
.
https://link.springer.com/article/10.1186/s12937-024-00935-3
.
https://news.liverpool.ac.uk/2024/04/08/118916/
.
https://www.sciencealert.com/this-japanese-diet-is-linked-to-less-brain-shinkage-in-women-experts-say
.
https://theconversation.com/traditional-japanese-diet-associated-with-less-brain-shrinkage-in-women-compared-to-western-diet-says-research-226347