เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนได้รับโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตโดยร่วมคณะไปกับคณะภิกษุสงฆ์และฆราวาสชาวไทย ภายใต้การนำของหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เพื่อไปเข้าเฝ้าสนทนาธรรมกับองค์ทะไลลามะ ประมุขทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ต่อไปนี้คือสาระสำคัญบางส่วนจากการสนทนาธรรมในครั้งนั้น
“อาตมาไม่เคยพยายามเผยแผ่พุทธศาสนา อาตมาเป็นชาวพุทธก็จริง แต่ขณะเดียวกัน อาตมาก็ไม่ควรยึดติดกับความเป็นพุทธของตนเอง ไม่เช่นนั้นอาตมาก็ไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในศาสนาอื่น ๆ ความท้าทายหรือสิ่งที่อาตมาให้ความสำคัญคือ การให้แต่ละคนรักษาหรือยึดถือศาสนาของตนเองไว้ แทนที่จะเปลี่ยนศาสนา อาตมาเดินทางสอนในโลกตะวันตกทั้งยุโรปและอเมริกา และมักบอกกับผู้คนในประเทศเหล่านั้นว่า พวกคุณนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนายิว ก็ขอให้รักษาไว้ บางครั้งการเปลี่ยนศาสนา อาจก่อให้เกิดความสับสนมากขึ้น เว้นเสียแต่ว่า ปัจเจกบุคคลผู้นั้นศึกษาศาสนาใหม่อย่างลึกซึ้ง และพิจารณาเห็นว่าเหมาะกับจริตหรือทัศนคติของเขาหรือเธอมากกว่า เช่นนั้นก็ถือว่ายอมรับได้ หากปราศจากความเข้าใจนี้แล้ว ก็อาจเกิดปัญหา เป็นต้นว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาอเทวนิยม ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าผู้สร้างโลก หรือแนวคิดเรื่องอัตตาตัวตน ทุกอย่างเป็นไปตามกรรมและเหตุปัจจัย ต่างจากศาสนาเทวนิยม นี่คือความแตกต่างสำคัญที่ต้องเข้าใจ เราเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนา”
“อาตมาคิดว่าประการแรกที่สุด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องคิดถึงมนุษยชาติโดยรวม ไม่เกี่ยงว่าคุณจะนับถือศาสนาใด หรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตาม พวกเราพี่น้องมนุษยชาติทั้งชายหญิงต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ด้วยกัน หากโลกนี้เป็นสุขมากขึ้น สันติมากขึ้น ทุกคนล้วนย่อมได้ประโยชน์ รวมถึงสัตว์โลกด้วย อาตมาคิดว่าสิ่งนี้คือภาระหรือความจำเป็นเร่งด่วนของเรา ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงพยายามหาหนทางช่วยเหลือ อาตมาใช้หลักปรัชญาหรือแนวคิดของอินเดียว่าด้วยจริยธรรมทางโลก (secular ethics) โดยไม่ยึดหรืออิงกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่มาจากสามัญสำนึกหรือประสบการณ์ร่วมกัน มุ่งเน้นการปฏิบัติเรื่องเมตตาและกรุณาเพื่อสร้างสันติภายใน บ่มเพาะความมั่นใจและความเข้มแข็งภายในตนเอง มีงานวิจัยยืนยันว่าคนที่ปฏิบัติเมตตาและกรุณาธรรม จิตใจจะสงบเพราะความกลัวลดลง ความยึดมั่นถือมั่นหรือคิดถึงแต่ตนเองมากเกินไปมีแต่จะสร้างความกลัวและความกังวล แต่เมื่อเราคิด หรือคำานึงถึงสวัสดิภาพของผู้อื่น จิตใจย่อมไม่มีพื้นที่สำหรับความกลัว ความสงสัย และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ”
“ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา อาตมาติดต่อสื่อสารกับนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านจักรวาลวิทยา (cosmology) เพราะพระอภิธรรมในพุทธศาสนาก็พูดถึงจักรวาลวิทยาด้วยเช่นกัน หรือเรื่องของประสาทชีววิทยา (neurobiology) ซึ่งคัมภีร์ในพุทธศาสนาโดยเฉพาะสายตันตระก็มีการพูดถึง ดังนั้น การแลกเปลี่ยนกับนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงเป็นประโยชน์มาก แล้วยังมีศาสตร์อย่างควอนตัมฟิสิกส์ (quantum physics) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ว่า สรรพสิ่งประกอบด้วยอนุภาค หรือจะเป็นจิตวิทยาที่เราสามารถเทียบเคียงได้กับหลักปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนาในพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู วิทยาศาสตร์สมัยใหม่อย่างจิตวิทยาค้นพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์มหาศาลจากศาสตร์โบราณของอินเดีย ซึ่งรวมถึงพุทธศาสนาด้วย เราอาจแบ่งพุทธศาสนาออกกว้างๆ ได้เป็นพุทธศาสตร์ (Buddhist Science) พุทธปรัชญา (Buddhist Philosophy) และพุทธศาสนา (Buddhist Religion) สองประการแรก คือหลักสากล ส่วนประการหลังสุดเป็นเรื่องชาวพุทธ”
“อาตมาไม่เคยพยายามเผยแผ่พุทธศาสนา อาตมาเป็นชาวพุทธก็จริง แต่ขณะเดียวกัน อาตมาก็ไม่ควรยึดติดกับความเป็นพุทธของตนเอง ไม่เช่นนั้นอาตมาก็ไม่สามารถมองเห็นคุณค่าในศาสนาอื่นๆ”
แนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงและปัญหาสังคมอื่น ๆ ในโลกยุคปัจจุบัน
“ศตวรรษที่ยี่สิบเต็มไปด้วยความขัดแย้งและสงคราม ว่ากันว่ามีผู้คนล้มตายจากความรุนแรงถึงสองร้อยล้านคน ด้วยวิธีการประหัตประหารมากมายหลายรูปแบบ รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ คำถามคือความรุนแรงเหล่านั้นช่วยจัดระเบียบโลกให้ดีขึ้นจริงหรือ หลายคนบอกว่าความรุนแรงเหล่านั้นเป็นสิ่งคุ้มค่า อาตมาไม่คิดเช่นนั้น เพราะมีความทุกข์ยากและความเกลียดชังมากขึ้น ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้วที่เราต้องคิดใหม่ เลิกคิดเสียทีว่าวิถีของโลกก็เป็นอย่างนั้นเอง เราต้องคิดหาวิธีเพื่อรับมือกับความเป็นจริงใหม่นี้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอย่างโลกร้อน ประชากรเพิ่มขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งอย่างหลังสุดเป็นเรื่องที่น่าวิตก หลายปีก่อน อาตมาไปบรรยายธรรมให้นักศึกษาอินเดียฟังที่เมืองโชธปุระ (Jodpur) นักศึกษาคนหนึ่งถามอาตมาว่า คอร์รัปชันถือเป็นเรื่องปกติในประเทศนี้ เมื่อสำาเร็จการศึกษาแล้ว หากเขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ชีวิตคงไม่มีทางประสบความสำเร็จ ไม่กี่วันหลังจากนั้น อาตมาพบนักธุรกิจคนหนึ่งในมุมไบ เขาพูดทำนองเดียวกันว่า ถ้าคุณไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน ธุรกิจคุณไม่มีวันประสบความสำเร็จ อาตมาฟังแล้วตกใจมาก ถ้าผู้คนทั่วไปคิดอย่างนี้แล้ว โลกเราจะเป็นอย่างไร เราต้องยืนยันอย่างหนักแน่นว่า พฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ อาตมาขอใช้คำว่า คอร์รัปชันคือมะเร็งร้ายชนิดใหม่ของโลก อาตมาคิดว่าเรื่องสำคัญในตอนนี้คือความมีวินัยในตนเอง เราจะปลูกฝังความมีวินัยในตนเองอย่างไร… ที่ผ่านมาศีลธรรมที่อิงกับศาสนาดูจะไม่เพียงพอ ดังนั้นทุกวันนี้สิ่งที่เราต้องการคือจริยธรรมทางโลกซึ่งส่งผลดีในหลายระดับ เป็นต้นว่า ถ้าเราซื่อสัตย์ ตัวเราจะมีความสุขขึ้น สุขภาพร่างกายดีขึ้น ชุมชนและสังคมก็ดีขึ้นตาม ด้วยการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมนี้ วินัยในตนเองจะเกิดขึ้นตาม เราจะสอนเรื่องนี้อย่างไรโดยไม่อิงกับศาสนา ก็ต้องอาศัยสามัญสำนึก การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และประสบการณ์ร่วมกัน นี่คือการส่งเสริมหลักศีลธรรมผ่านการศึกษาทางโลก”
บ่มเพาะสันติภายในเพื่อสร้างสันติภายนอก
“สันติในโลกต้องมาจากสันติภายใน หากปราศจากสันติภายในแล้ว สังคม ชุมชน และโลกที่สุขสงบย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเราต้องให้การศึกษาแก่ผู้คนเกี่ยวกับการบ่มเพาะสันติภายในใจ สันติภายในต่างหากคือกุญแจสำคัญที่สุดของชีวิตที่ประสบความสำาเร็จ เราสอนสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยระบบการศึกษาปกติ การศึกษาเป็นเรื่องสากล ศาสนาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเป็นสากล ในเมื่อปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาร่วมกันของมนุษยชาติ การแก้ปัญหาจึงเป็นเรื่องสากลและต้องอาศัยความร่วมมือจากทั่วโลก อาตมาคิดเช่นนี้ มิตรสหายของเราบางคนเริ่มลงมือทำาแล้วด้วยการหาหนทางในการส่งเสริมหลักจริยธรรมในระบบการศึกษาสมัยใหม่ อาตมาขอเชิญชวนพวกท่านในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ นี่คือความรับผิดชอบและผลประโยชน์ร่วมกันของเรา ทุกวันนี้ เราจำเป็นต้องปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบร่วมกันในระดับโลก โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความตระหนักที่ว่า มนุษยชาตินั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความแตกต่างทางศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือ เราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เมื่อพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนธรรม พระองค์ไม่เคยทรงเลือกว่าต้องสั่งสอนคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งโดยเฉพาะ หากเป็นมนุษยชาติ แม้แต่พวกเราชาวพุทธ เวลาสวดมนต์แผ่เมตตา เราไม่เคยพูดว่าเพื่อมนุษยชาติเท่านั้น หากเผื่อแผ่ครอบคลุมถึงสรรพชีวิตทั้งมวล”
สำหรับผู้คนอีกนับไม่ถ้วนในโลก สันติภายในไม่ต่างจากสิ่งหรูหรา ในเมื่อท้องยังหิว และต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
“อาตมาคิดว่า เราต้องแยกแยะระหว่างความต้องการ (desire) กับความโลภ (greed) สองอย่างนี้แตกต่างกัน ความต้องการในบางสิ่งที่ดี ในแง่นี้เราทุกคนเท่าเทียมกัน จริงๆแล้ว พวกเราชาวพุทธยังบ่มเพาะความต้องการหรือความปรารถนาที่จะบรรลุธรรม หรือพุทธภูมิ ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือการพูดว่า พุทธศาสนามุ่งกำจัดความต้องการหรือความอยากให้หมดไป นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด ความต้องการที่ปรุงแต่งด้วยอคติบางอย่างกลายเป็นสิ่งไม่ดี แต่ความต้องการที่ถูกต้องและมีเหตุมีผลไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เช่น ความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมหรือหลุดพ้น ทำนองเดียวกัน เราปรารถนาชีวิตที่มีความสุขอย่างถูกทำนองคลองธรรม แต่หากเราปรารถนาความสุขด้วยการใช้ประโยชน์จากผู้อื่น ทำร้ายหรือโกงผู้อื่น เช่นนั้นคือความต้องการที่ผิด ความต้องการโดยตัวเองเป็นเรื่องกลางๆ แรงจูงใจบางอย่างทำให้ความต้องการกลายเป็นเรื่องดีและไม่ดี ทำนองเดียวกับความโกรธ ถ้าเป็นความโกรธที่เกิดจากความเมตตา ความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพผู้อื่น เช่นนั้นความโกรธก็อาจเป็นความโกรธที่ดีได้ แต่ความโกรธที่เกิดจากความรู้สึกแง่ลบต่อผู้อื่น ความโกรธนั้นย่อมไม่ดี นี่คือธรรมชาติของทุกอารมณ์ที่อิงอาศัยและเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อารมณ์หนึ่งในสถานการณ์หนึ่งอาจเป็นเรื่องไม่ดี แต่อารมณ์เดียวกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกันอาจกลายเป็นเรื่องดีก็ได้ เมื่อเราพูดว่าสันติภายในเป็นเรื่องสำคัญมาก นั่นไม่ได้หมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องมีการพัฒนาทางวัตถุ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงละชีวิตทางโลก แต่เพื่อความจำเป็นพระองค์ก็ยังทรงต้องมีข้าวของเครื่องใช้อย่างอัฐบริขารสำหรับสมณสารูป ในทำนองเดียวกัน การพัฒนาทางวัตถุยังจำเป็นต้องมี อาตมาไม่เห็นความขัดแย้งระหว่างการบ่มเพาะสันติภายในกับการพัฒนาทางวัตถุ เราต้องเข้าใจว่าสำหรับคนที่ยังขาดแคลน ท้องยังหิว ชีวิตยังยากลำบาก พวกเขาอาจยังไม่พร้อมสำหรับการปฏิบัติธรรม เราจึงต้องปรับปรุงหรือพัฒนาสภาพเงื่อนไขของพวกเขาเสียก่อน ในเรื่องนี้อาตมาขอยกหลักธรรมว่าด้วย สังคหวัตถุ 4 สองข้อแรก ได้แก่ ทาน คือการให้เพื่อแบ่งเบาหรือปัดเป่าความลำบาก ทางกาย และปิยวาจา การพูดจาด้วยถ้อยคำไพเราะ แนะนำหนทางที่ถูกต้อง เพื่อให้พวกเขาเดินตาม”
“เมื่อพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนธรรม พระองค์ไม่เคยทรงเลือกว่าต้องสั่งสอนคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือชุมชนใดชุมชนหนึ่งโดยเฉพาะ… แม้แต่พวกเราชาวพุทธ เวลาสวดมนต์แผ่เมตตา เราไม่เคยพูดว่าเพื่อมนุษยชาติเท่านั้น หากเผื่อแผ่ครอบคลุมถึงสรรพชีวิตทั้งมวล”
ผู้หญิงควรมีบทบาทอย่างไรในการปลูกฝังศีลธรรมและเมตตาธรรม
“ในสังคมมนุษย์ยุคแรกๆ ความแข็งแรงทางกายคือปัจจัยสำคัญของความเป็นผู้นำ นั่นคือจุดเริ่มต้นของสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ ต่อมาเมื่อการศึกษาพัฒนาดีขึ้น ความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงจึงเกิดตามมา ปัจจุบัน เราต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการบ่มเพาะเมตตาธรรมในจิตใจ นอกเหนือจากการศึกษาทางโลก เมื่อพูดในเชิงชีววิทยา เราต้องยอมรับว่า ผู้หญิงมีความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายในเรื่องความทุกข์ยากของผู้อื่น ดังนั้นในการปลูกฝังเมตตาธรรมในสังคมมนุษย์ ผู้หญิงจึงควรมีบทบาทมากขึ้น อาตมาอยากยกตัวอย่างแม่ของอาตมาซึ่งเป็นหญิงชาวบ้าน อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไร้การศึกษา เป็นชาวไร่ชาวนา แต่แม่มีหัวใจที่อ่อนโยน ทุกครั้งที่เห็นขอทาน แม่มักร้องไห้ ลูกๆไม่เคยเห็นใบหน้าโกรธขึ้งของแม่เลย ลูกๆ จึงถูกเลี้ยงดูขึ้นมาในบรรยากาศแบบนี้ อาตมาย้ำว่า ในชีวิตมนุษย์ การศึกษาสำคัญมาก แต่ความรักนั้นสำคัญยิ่งกว่าการศึกษาเสียอีก อาตมาไม่คิดว่ามีนักวิทยาศาสตร์คนไหนพูดว่า ยิ่งมีการศึกษามาก สุขภาพยิ่งดี แต่จิตใจที่อ่อนโยนดีงามต่างหากที่ส่งเสริมให้เรามีสุขภาพดี” —โกวิทย์ ผดุงเรืองกิจ เก็บความและเรียบเรียง ตีพิมพ์ครั้งแรกใน เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนกุมภาพันธ์ 2556
อ่านเพิ่มเติม