บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาว ผมยืนอยู่ท่ามกลางผู้ชายกว่าร้อยคนที่จับมือเรียงกันเป็นวงกลม พวกเขาหลับตา โยกตัวขึ้นลงตามจังหวะเสียงกลองในพิธี และเปล่งเสียง “อัลลอฮ์” ซ้ํา ๆ ติดต่อกัน เส้นผมหยักศกสีน้ำตาลของพวกเขาปลิวสะบัดตัดกับหิมะสีขาวที่ปกคลุมภูเขาในฉากหลัง ระหว่างที่ถ่ายภาพชายกลุ่มนี้ผมปล่อยกายและใจเลื่อนไหลเป็นจังหวะเดียวกับพวกเขา แม้เสียงกลองจะดังสนั่นไปทั่วหุบเขา แต่ทุกคนกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าจิตของพวกเขากําลังเดินทางไปยังดินแดนแสนไกล
ทันใดนั้น ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็ร้องเสียงดังและวิ่งออกมาที่กลางวง เขาหงายฝ่ามือทั้งสองข้าง แหงนหน้ามองขึ้นฟ้า และร้องเรียกพระเจ้า เมื่ออาการสงบลง เขาก็กลับเข้าไปเต้นรําในวงต่อจนดวงอาทิตย์ลับหลังเขาและความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา พิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีพีร์ชัลยาร์ (Pir Shalyar Festival) พิธีกรรมเก่าแก่ที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงกลางฤดูหนาว และเป็นเหตุผลที่ชาวเคิร์ดนับพันคนมารวมตัวกันที่หมู่บ้านกลางหุบเขาแห่งนี้
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้นผมนั่งรถฝ่าพายุหิมะลัดเลาะตามถนนอันคดเคี้ยวบนไหล่เขาจนมาถึงหมู่บ้านฮอรามานทัคท์ (Hawraman-Takht) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ในเขตฮอรามาน (Hawraman) ครอบคลุมพื้นที่ระหว่างชายแดนอิหร่าน-อิรักบนเทือกเขาซากรอส (Zagros Mountains) บริเวณนี้มีผู้คนตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสตศักราชแล้ว ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ด พวกเขาถือเป็นชนกลุ่มน้อยโดยมีจํานวนคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด 86 ล้านคนของอิหร่าน และเป็นส่วนหนึ่งของชาวเคิร์ด กว่า 30-40 ล้านคนที่กระจายตัวอยู่ในอิหร่าน อิรัก ตุรกี ซีเรีย และพลัดถิ่นอยู่ทั่วโลก
ผมยังจําความรู้สึกแรกตอนที่มาถึงหมู่บ้านนี้ได้ดี ภาพบ้านหลายร้อยหลังที่สร้างต่อกันเป็นขั้นบันไดบนเขาสูงชัน ทุกหลังก่อผนังด้วยหินสีน้ำตาลกลืนไปกับภูเขาและทําหลังคาแบนราบเพื่อใช้เป็นทางเดินและพื้นที่สาธารณะ ทําให้ผมทึ่งกับความสร้างสรรค์ของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติแม้ภูมิประเทศบริเวณนี้จะดูแห้งแล้ง แต่ชาวฮอรามานก็สามารถเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ได้อุดมสมบูรณ์ด้วยภูมิปัญญาในการจัดการน้ําและดิน ในช่วงฤดูร้อนพวกเขาจะอพยพขึ้นไปอยู่บนยอดเขาเพื่อหนีความร้อนและย้ายกลับลงมาที่หมู่บ้านเมื่ออากาศเย็นลง ชาวเคิร์ดฮอรามานปรับตัวเข้ากับธรรมชาติบนเทือกเขาสูงได้อย่างกลมกลืนมานานนับพันปีจนทําให้พื้นที่นี้ได้ชื่อว่าเป็น ‘ภูมิทัศน์’ วัฒนธรรมแห่งฮอรามาน’ (Cultural Landscape of Hawraman)
นอกจากฮอรามาน-ทัคท์จะเป็นที่รู้จักด้วยสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งแล้ว หมู่บ้านนี้ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเคิร์ด ฮอรามานด้วย ตามประวัติศาสตร์บอกเล่า ที่นี่คือบ้านของพีร์ชัลยาร์ (Pir Shalyar) ผู้นําทางจิตวิญญาณซึ่งมีชีวิต อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 เขามีพลังวิเศษสามารถรักษาโรคและบันดาลให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปไกลถึงอาณาจักรบุฆอรอ (Bukhara) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศอุซเบกิสถาน กษัตริย์ในเวลานั้นมีพระธิดาที่หูหนวกเป็นใบ้ พระองค์พยายามหาทางรักษาแต่ก็ไม่สําเร็จ ถึงขั้นประกาศว่าใครที่สามารถรักษาเจ้าหญิงได้จะได้แต่งงานกับเธอ เมื่อกษัตริย์ได้ยินกิตติศัพท์ของพีร์ชัลยาร์ จึงส่งพระธิดาพร้อมคณะผู้ติดตามมายังหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้าน หูของเจ้าหญิงเริ่มกลับมาได้ยินเสียงหลังจากทรงได้ยินเสียงคํารามของปีศาจที่สิงอยู่บนยอดเขาเหนือหมู่บ้าน และเมื่อคณะเดินทางมาถึงบ้านของพีร์ชัลยาร์ ปีศาจก็ตกจากหน้าผาลงมานอนตายอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของผู้วิเศษ ทันใดนั้นเองเจ้าหญิงก็ทรงหายจากอาการใบ้และสามารถพูดได้ ทุกคนเชื่อว่านี่คืออภินิหารของพีร์ชัลยาร์
ทั้งสองจึงแต่งงานกันตามที่กษัตริย์ได้สัญญาไว้ทั้งหมู่บ้านร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองเป็นเวลาหลายวัน ปัจจุบันชาวฮอรามาน-ทัคท์ยังคงจัดพิธีรําลึกวันครบรอบการแต่งงานของทั้งสองทุกปี และเป็นที่รู้จักกันในชื่องานประเพณีพีร์ชัลยาร์
ยูเซฟ ฮาเมญานิ(Yousef Hamejani) ผู้ศึกษางานประเพณีพีร์ชัลยาร์ในเชิงสัญศาสตร์ (semiotics) วิเคราะห์ว่า พิธีนี้เปรียบเสมือนการเดินทางจากโลกแห่งวัตถุไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณเพื่อชําระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดช่วงเวลาสามสัปดาห์ที่จัดงาน
เริ่มจากในวันพฤหัสบดีแรกของเดือนกุมภาพันธ์ เด็ก ๆ จะออกเดินไปทั่วหมู่บ้านฮอรามาน-ทัคท์และหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อแจกผลวอลนัตที่เก็บจากสวนโบราณของพีร์ชัลยาร์และแจ้งข่าวว่าสัปดาห์หน้าจะมีงานพิธี ถือเป็นการเชิญคนทั้งหมู่บ้านและบอกให้เตรียมตัวล่วงหน้า จากนั้น ในสัปดาห์ที่สองของเดือนกุมภาพันธ์ตอนเย็นวันอังคาร และเช้ามืดวันพุธ เด็ก ๆ จะไปเคาะประตูตามบ้านต่าง ๆ เพื่อรับแจกขนม เป็นการเตือนว่าพิธีใกล้จะเริ่มแล้ว
เช้าวันพุธที่หน้าบ้านของพีร์ชัลยาร์ชาวบ้านจะทําพิธีสังเวยวัวแกะแพะซึ่งมีคนบริจาคให้เพื่องานนี้ถือเป็นการฝึกความเสียสละและลดความยึดติดในทรัพย์สินและวัตถุก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งจิตวิญญาณในขั้นตอนถัดไปเนื้อสัตว์ส่วนหนึ่งจะนําไปแจกจ่ายในหมู่บ้าน อีกส่วนนําไปทําซุปที่เรียกว่า ‘ฮลอชีเน เทเช’ (Hloshine Teshe) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอาหารที่ทําเลี้ยงแขกในพิธีแต่งงานของพีร์ชัลยาร์เมื่อพันปีก่อน กินแล้วอธิษฐานจะได้สมหวัง ซุปที่ทําเสร็จแล้วจะนําไปแจกให้คนทั้งหมู่บ้านและแขกในงานกินร่วมกัน
หลังจากนั้น ผู้ชายจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในเขตฮอรามานจะรวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีเต้นรําซึ่งเรียกว่า ‘ซิเกร’ (Dhikr) โดยยืนเรียงเป็นวงกลม จับมือและโยกตัวตามจังหวะเสียงกลองดาฟ (Daf) กลองมือขนาดใหญ่ที่มีลักษณะวงกลมแบนและมีวงแหวนเหล็กติดอยู่ข้างใน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าและนบีมุฮัมมัด พิธีนี้จัดต่อเนื่องตั้งแต่บ่ายวันพุธถึงเย็นวันพฤหัสบดี เป็นขั้นตอนสําคัญที่ผู้เข้าร่วมจะได้ออกจากชีวิตประจําวันและเข้าสู่มิติแห่งจิตวิญญาณเพื่อชําระล้างจิตใจ ระหว่างเต้นรําหลายคนมีอาการตกอยู่ในภวังค์และรู้สึกว่าพวกเขาได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
ต่อมาในคืนวันพฤหัสบดีหลังจากเสร็จพิธีเต้นรํา ตัวแทนของตระกูลต่าง ๆ จะมารวมตัวที่บ้านของพีร์ชัลยาร์โดยแต่ละบ้านจะมีที่นั่งประจําในพิธี พวกเขาจะร่วมกันท่องคัมภีร์อัลกุรอานและฟังครูสอนศาสนาเล่าเรื่องสดุดีคุณงามความดีของพีร์ชัลยาร์เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงผู้วิเศษ จากนั้นพวกเขาจะร่วมกันกินซุปสูตรโบราณและปิดท้ายด้วยการขอพรร่วมกัน ถือเป็นการเตรียมตัวออกจากโลกแห่งจิตวิญญาณกลับสู่โลกแห่งวัตถุ
ในวันพฤหัสบดีสัปดาห์ถัดมา ผู้หญิงแต่ละบ้านจะช่วยกันทําขนมปัง ‘เกเท มาจญ์เก’ (Gete Majge) เพื่อใช้ในพิธีในวันรุ่งขึ้น เป็นขนมปังรูปทรงกลมสีเหลืองทองซึ่งเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์และโรยหน้าด้วยผงวอลนัต เชื่อกันว่า กินแล้วจะโชคดี เช้าวันศุกร์ผู้ชายในหมู่บ้านจะไปรวมตัวกันที่หลุมศพของพีร์ชัลยาร์และพีร์คาโล (Pir Xalo) ผู้นําทางจิตวิญญาณอีกคนในตํานานของชาวฮอรามาน เพื่อทําพิธีเคารพหลุมศพ ถือเป็นการระลึกถึงความตายอัน หมายถึงจุดจบของชีวิตในโลกแห่งวัตถุ บริเวณหลุมศพของพีร์ทั้งสองมีต้นไม้ใหญ่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชาวฮอรามานจะนําผ้าไปผูกที่กิ่งไม้และอธิษฐาน จากนั้นพวกเขาจะสุ่มแกะผ้าที่คนอื่นผูกไว้ เชื่อกันว่าวิธีนี้จะทําให้คําอธิษฐานของคนนั้นเป็นจริง
เสร็จแล้วพวกเขาจะนําขนมปังของแต่ละบ้านมารวมกันเป็นกองกลางและแบ่งให้ทุกคนในชุมชนคนละหนึ่งชิ้น ก่อนที่จะกินขนมปังจิ้มโยเกิร์ตร่วมกันที่สุสาน ถือเป็นการจบงานประเพณีพีร์ชัลยาร์อย่างสมบูรณ์
ฮาเมญานิวิเคราะห์งานประเพณีโบราณนี้ว่านอกจากจะเป็นพิธีกรรมเพื่อชําระจิตใจแล้ว ยังเป็นเครื่องมือจัดระเบียบทางสังคมด้วย คนทั้งหมู่บ้านฮอรามาน-ทัคท์จะหยุดงานเพื่อมาช่วยกันจัดพิธีแต่ละตระกูลรับผิดชอบหน้าที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ดูแลสวนวอลนัทของพีร์ชัลยาร์ ดูแลสัตว์ที่จะนํามาสังเวย เชือดคอสัตว์ ชําแหละเนื้อต้มซุป ตีกลองดาฟ เต้นรํา ฯลฯ เป็นบทบาทที่กําหนดชัดเจนและสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ การมอบหมายให้เด็กและเยาวชนเดินประกาศข่าวการจัดงานทั่วหมู่บ้านถือเป็นการดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อเรียนรู้ ขั้นตอนและเตรียมสืบทอดพิธีในอนาคต
ถึงแม้ว่าพิธีกรรมหลักจะสงวนไว้สําหรับผู้ชายเท่านั้นในฐานะตัวแทนครอบครัว แต่ผู้หญิงก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกันโดยรับหน้าที่ทําขนมปังสําหรับใช้ในพิธีเคารพหลุมศพ นอกจากนี้ผู้ชายยังมีหน้าที่นําอาหารที่แจกในพิธีกลับไปฝากสมาชิกครอบครัวทุกคนที่ไม่ได้มาร่วมงานด้วย การแจกจ่ายเนื้อสัตว์และซุปให้คนทั้งหมู่บ้านและแขกในงานได้กินร่วมกันโดยไม่คํานึงถึงสถานะถือเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน และการแบ่งสรรขนมปังให้ทุกคน คนละชิ้น ถือเป็นการปลูกฝังให้ปฏิบัติต่อคนในชุมชนอย่างเท่าเทียมกัน
ชาวฮอรามานต่างเฝ้ารองานประเพณีพีร์ชัลยาร์ทุกปีเพราะเป็นโอกาสพิเศษที่พวกเขาจะได้ชําระล้างจิตใจที่ขุ่นหมองจากการใช้ชีวิตในโลกแห่งวัตถุ พิธีเต้นรําจะช่วยนําพาพวกเขาเข้าใกล้พระเจ้าตามเป้าหมายในศาสนาของพวกเขา การได้กินซุปและขนมปังที่เชื่อว่าจะทําให้โชคดีและการผูกผ้าอธิษฐานที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเติมความหวังและพลังใจให้พวกเขา พิธีกรรมเหล่านี้ผูกพันลึกซึ้งกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวฮอรามานซึ่งส่วนใหญ่เคร่ง ศาสนาและมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากกว่าชาวเคิร์ดเผ่าอื่น
ถึงแม้ว่าปัจจุบันชาวเคิร์ดฮอรามานส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีและลัทธิศูฟีซึ่งเข้ามาในดินแดนเปอร์เซีย (อิหร่านในปัจจุบัน) ตั้งแต่ยุคที่อิสลามถือกําเนิดเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7 แต่หากมองลึกลงไปใน รายละเอียดของงานประเพณีพีร์ชัลยาร์เราจะเห็นความเชื่อโบราณจากยุคก่อนศาสนาอิสลามแทรกอยู่ด้วย
‘พีร์’ (pir) เป็นคําเรียกผู้นําทางจิตวิญญาณและยังหมายถึงสถานที่แสวงบุญในศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism) ที่แพร่หลายมานานหลายพันปีในดินแดนเปอร์เซีย ชื่อเขต ‘ฮอรามาน’ นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าอาจมาจากคําว่า ‘-hura’ หมายถึง ‘พระอหุระมาซดะ’ (Ahura Mazda) เทพเจ้าแห่งปัญญาผู้เป็นพระเจ้าสูงสุดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ และคําว่า ‘man’ หมายถึง ‘ดินแดน’ แปลโดยรวมว่า ‘ดินแดนของพระอหุ ระมาซดะ’ การอธิษฐานโดยผูกผ้าที่ต้นไม้ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวโซโรอัสเตอร์
อีกศาสนาที่ผูกพันกับงานประเพณีพีร์ชัลยาร์คือศาสนายาร์ซาน (Yarsanism) ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมากในเขตฮอรามานและนับถือพีร์ชัลยาร์เช่นกัน ยาร์ซานก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ผสมผสานความเชื่อของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ลัทธิศูฟี และความเชื่อโบราณของชาวเคิร์ด คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของยาร์ซานบันทึกด้วยภาษาฮอรามี (Hawrami) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของชาวฮอรามานและเก่าแก่ที่สุดในตระกูลภาษาเคิร์ด ภายหลังชาวเคิร์ดนับถือยาร์ซานลดลงเนื่องจากราชวงศ์ศอฟาวิด (Safavid) ได้สถาปนาศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ (Shia Islam) เป็นศาสนาประจําชาติกวาดล้างคนต่างศาสนา และบังคับให้เปลี่ยนมานับถือนิกายนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
แม้ว่าศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาอิสลามลัทธิศูฟี และศาสนายาร์ซานจะนับถือพระเจ้าคนละองค์ แต่ก็มี ลักษณะร่วมตรงที่เน้นการเข้าถึงประสบการณ์ทางจิตวิญญาณผ่านพิธีกรรม เช่น ทําสมาธิ อธิษฐาน บําเพ็ญเพียร เพื่อชําระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์และสื่อสารกับพระเจ้า นําพิธีโดยผู้นําทางจิตวิญญาณซึ่งทั้งสามศาสนาเรียกว่า ‘พีร์’ เหมือนกัน
ความเชื่อเหล่านี้ผสมผสานและหยั่งรากลึกในเขตฮอรามานกลางขุนเขาที่ห่างไกลและเข้าถึงยากในสมัยโบราณที่ชาวเคิร์ดแยกกันอยู่เป็นเผ่า ภูเขาคือปราการธรรมชาติที่ช่วยป้องกันศัตรูรุกราน ปัจจุบันภูเขาคือเกราะกําบัง อิทธิพลและอำนาจคุกคามจากภายนอก ช่วยให้ชาวฮอรามานยังคงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อเดิมไว้ได้ รวมถึงงานประเพณีพีร์ชัลยาร์
แม้ว่าศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาอิสลามลัทธิศูฟี และศาสนายาร์ซานจะนับถือพระเจ้าคนละองค์ แต่ก็มีลักษณะร่วมตรงที่เน้นการเข้าถึงประสบการณ์ทางจิตวิญญาณผ่านพิธีกรรม เช่น ทําสมาธิ อธิษฐาน บําเพ็ญเพียร เพื่อชําระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์และสื่อสารกับพระเจ้า นําพิธีโดยผู้นําทางจิตวิญญาณซึ่งทั้งสามศาสนาเรียกว่า ‘พีร์’ เหมือนกัน
ความเชื่อเหล่านี้ผสมผสานและหยั่งรากลึกในเขตฮอรามานกลางขุนเขาที่ห่างไกลและเข้าถึงยาก ในสมัยโบราณที่ชาวเคิร์ดแยกกันอยู่เป็นเผ่า ภูเขาคือปราการธรรมชาติที่ช่วยป้องกันศัตรูรุกราน ปัจจุบันภูเขาคือเกราะกําบัง อิทธิพลและอำนาจคุกคามจากภายนอก ช่วยให้ชาวฮอรามานยังคงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อเดิมไว้ได้ รวมถึงงานประเพณีพีร์ชัลยาร์
“ข้ามเขาลูกนี้แล้วเดินเท้าต่อไปอีกหน่อยก็ถึงอิรักแล้ว” ซาบาห์เพื่อนชาวเคิร์ดบอกผมและชี้ไปที่ภูเขาลูกใหญ่ตรงข้ามบ้านของเขาที่หมู่บ้านฮอรามาน-ทัคท์“ ฝั่งนั้นก็อยู่ในเขตฮอรามานเหมือนกัน”
ในอดีตเขตฮอรามานเคยปกครองโดยหัวหน้าเผ่าชาวเคิร์ดซึ่งมีอํานาจบริหารจัดการตนเอง แต่ก็อยู่ภายใต้อิทธิพล
ของอาณาจักรเปอร์เซียที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 คําว่า ‘ทัคท์’ (Takht) แปลว่า ‘ศูนย์กลางการ ปกครอง’ บ่งบอกว่าหมู่บ้านฮอรามาน-ทัคท์เป็นศูนย์กลางของเขตฮอรามานมาตั้งแต่โบราณ ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1639 จักรวรรดิเปอร์เซียและจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ได้ทําสนธิสัญญาซุฮับ (Treaty of Zuhab) เพื่อยุติสงครามอันยืดยาวและยืนยันดินแดนที่ทั้งสองถือครองในเอเชียตะวันตก ดินแดนที่ชาวเคิร์ดเรียกว่า ‘ใต้’ กลายเป็นประเทศอิรัก ดินแดนที่พวกเขาเรียกว่า ‘ตะวันออก’ กลายเป็นประเทศอิหร่าน เส้นพรมแดนใหม่ส่งผลให้ เขตฮอรามานถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศโดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในอิหร่าน
ตลอดเวลาที่ชาวเคิร์ดอยู่ใต้อํานาจของอาณาจักรเปอร์เซีย ทุกราชวงศ์ที่ปกครองต่างใช้นโยบายครอบงําทางการเมือง เศรฐกิจ และวัฒนธรรม ทําให้พวกเขารู้สึกถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ และเลือกปฏิบัติ ความคับแค้นใจนี้ ส่งผลให้ชาวเคิร์ดส่วนใหญ่มีอุดมการณ์ชาตินิยมสูงและต้องการมีประเทศเป็นของตนเองที่เรียกว่า ‘เคอร์ดิสถาน’ (Kurdistan) พวกเขาลุกขึ้นมาต่อต้านหลายครั้ง นําไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยเฉพาะในสมัย ราชวงศ์ปะฮ์ลาวี (Pahlavi Dynasty) ค.ศ. 1925-1979 อิหร่านดําเนินนโยบายชาตินิยมเปอร์เซีย (Persianization) โดยประกาศให้ภาษาเปอร์เซียเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียว ห้ามชาวเคิร์ดและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ พูดภาษาของตัวเอง รวมถึงห้ามพวกเขาจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม
หลังการปฏิวัติอิสลามเมื่อ ค.ศ. 1979 ความสัมพันธ์ระหว่างชาวเคิร์ดและรัฐบาลอิหร่านยิ่งตึงเครียด เพราะรัฐบาลหวาดระแวงว่าชาวเคิร์ดที่มีอุดมการณ์ชาตินิยมรุนแรงในอิหร่านอาจร่วมมือกับกลุ่มชาวเคิร์ดในประเทศข้างเคียง และมหาอํานาจตะวันตกก่อการเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน เช่น เขตฮอรามานซึ่งเคยเป็นสนามรบระหว่างรัฐบาลอิหร่านและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวเคิร์ดในทศวรรษ 1980 ด้วยที่ตั้งห่างไกลจากศูนย์กลางอํานาจทําให้พื้นที่ของชาวเคิร์ดไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรและมีอัตราการว่างงานสูง ประกอบกับชาว เคิร์ดเป็นมุสลิมนิกายซุนนี ต่างจากชนกลุ่มใหญ่ของอิหร่านที่นับถือนิกายชีอะฮ์ จึงถูกขัดขวางไม่ให้มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกันและเกิดการปะทะต่อสู้กันมาตลอด ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ชาวเคิร์ดต้องกลายเป็น ‘คนชายขอบ’ ในบ้านเกิดของตัวเองที่อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ
แม้ว่าทุกวันนี้รัฐบาลอิหร่านจะยอมให้ชาวเคิร์ดและชนกลุ่มน้อยเข้ามามีเสียงในรัฐสภา แต่ก็ยังคงสงวนอํานาจเรื่องภาษา วัฒนธรรม และการปกครองตนเองไว้เพราะมองว่าวัฒนธรรมและภาษาที่ไม่ใช่เปอร์เซียเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและเอกภาพของชาติ และรัฐบาลอิหร่านยังคงควบคุมและเฝ้าจับตาดูกิจกรรมทางวัฒนธรรมของชาวเคิร์ดอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ด้วยเหตุนี้ งานประเพณีพีร์ชัลยาร์ จึงมีนัยทางการเมืองสําหรับชาวเคิร์ดฮอรามาน เพราะเป็นโอกาสเพียงไม่กี่ครั้งในแต่ละปีที่พวกเขาจะได้รวมตัวแสดงอัตลักษณ์ที่ถูกศูนย์กลางอํานาจกดไว้และแสดงอํานาจในการกําหนดตนเอง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พยายามรักษาสัมพันธภาพกับศาสนจักรของอิหร่านด้วยการเชิญอิหม่ามนิกายชีอะฮ์เข้าร่วมพิธีด้วยในฐานะตัวแทนของรัฐ ถือเป็นตัวอย่างการต่อต้านและต่อรองอํานาจรัฐอย่างสันติผ่านวัฒนธรรมประเพณี
เช้าวันสุดท้ายที่หมู่บ้านฮอรามาน-ทัคท์ก่อนที่ผมจะขึ้นรถเข้าเมืองเพื่อเดินทางกลับกรุงเตหะราน ผมมองไปที่ยอดเขาเหนือหมู่บ้านที่ตํานานเล่าว่าปีศาจเคยตกลงมาตายด้วยพลังวิเศษของพีร์ชัลยาร์ ก่อนหน้านี้ผมเคยสงสัยว่า บุคคลนี้มีตัวตนจริงหรือไม่ ? เขามีพลังวิเศษจริงหรือ ? แต่ตอนนี้ผมคิดว่าคําตอบคงไม่สําคัญ
ตลอดเวลาสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในอีกโลกที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ผมไม่เคยเห็น เหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ต่อมาชาวฮอรามานก็ได้เปิดประตูให้ผมเข้าไปสัมผัสโลกแห่งจิตวิญญาณของพวกเขา ผ่านเสียงกลองและบทสวดในพิธีเต้นรํา ผ่านซุปและขนมปังในพิธีที่กินร่วมกันมานานนับพันปี สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน เชื่อมโลกวัตถุกับโลกจิตวิญญาณ เชื่อมตํานานในอดีตกับชีวิตในปัจจุบัน และเชื่อมพวกเขากับผมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะบุคคลในตํานานที่ชื่อพีร์ชัลยาร์
ยิ่งเมื่อผมได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การถูกกดขี่ของชาวฮอรามานที่อยู่มาวันหนึ่งบ้านเกิดของพวกเขาถูกแบ่งเป็นสองประเทศ พิธีกรรมที่จัดมานับพันปีและภาษาที่พูดอยู่ทุกวันกลายเป็นสิ่ง ‘ผิดกฎหมาย’ ผมยิ่งเข้าใจว่าทําไมชาวเคิร์ดถึงได้ภูมิใจในอัตลักษณ์ของตัวเองมากขนาดนี้ แม้ว่าจะถูกปราบปราบอย่างรุนแรงและถูกกลืนวัฒนธรรมมานานหลายร้อยปีแต่วัฒนธรรมของพวกเขายังคงอยู่ได้เพราะความร่วมมือร่วมใจกันอย่างเหนียวแน่นที่จะรักษาความเป็นชาวเคิร์ดไว้
นี่คงเป็น ‘พลังวิเศษ’ ที่พีร์ชัลยาร์ได้มอบให้ชาวเคิร์ดฮอรามานทุกคน
เรื่องและภาพ อธิคม แสงไชย
ดูผลงานของช่างภาพได้ที่ https://www.instagram.com/s.athikhom/