การปะทุของภูเขาไฟ – สัญญาณครั้งล่าสุดได้ปลดปล่อยลาวาออกมามากกว่าครั้งไหน ๆ สูงถึง 10 เท่า บางทีอาจเหลือแค่เรื่องของเวลาที่จะทำให้ไอซ์แลนด์นั้นหมดโชค
หลังจากสงบนิ่งมาเกือบ 1 พันปี ในคืนวันที่ 18 ธันวาคม คาบมหาสมุทร ‘เรคยาเนส’ (Reykjanes Penisula) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์ก็ได้เกิดการปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน
นับเป็นครั้งที่ 4 แล้วในรอบ 3 ปี แค่เพียง 2 ชั่วโมงหลังจากเกิดแผ่นดินไหวเท่านั้น มันก็ได้พ่นลาวาออกมามากกว่าทุกครั้ง เมื่อเทียบจุดสูงสุดกันแล้ว ครั้งนี้มีปริมาณต่อวินาทีมากกว่า 10 เท่า ขณะเดียวกัน รอยแยกบนแผ่นดินก็แผ่ขยายออกจากไป 4 กิโลเมตรใน 1 นาที
การปะทุครั้งล่าสุดได้ดึงดูดความสนใจของคนทั่วโลกด้วยเหตุผล 3 ประการ : การปะทุขึ้นมาเป็นเหตุการณ์หลักนั้นผิดปกติเมื่อเทียบกับ 3 ครั้งล่าสุด, สถานที่ตั้งรวมกับการปะทุหินหลอมเหลวขึ้นมานั้นทรงพลังราวกับว่าจะสามารถทำลายเมืองได้ และพฤติกรรมโดยรวมของมันทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอนาคต
“การเปลี่ยนแปลงที่เปิดระบบ (การปะทุ) ครั้งนี้ค่อนข้างน่าประหลาดใจจริง ๆ” ซามูเอล มิทเชลล์ (Samuel Mitchell) นักภูเขาไฟวิทยาจากมหาวิทยาลัยบริสตอล กล่าว การปะทุขึ้นหรือหยุดชั่วคราวของแมกมาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับรอยแยก แต่การปะทุที่โหมโรงเหตุการณ์อย่างเช่นครั้งนี้ดูรุนแรงและเร่งรีบเป็นพิเศษ
ในช่วงบ่ายของวันที่ 19 ธันวาคม มีรอยแยกเพียง 1 ใน 3 ของการปะทุเท่านั้นที่ยังคงมีพลังจากภูเขาไฟ และปริมาณก็ลดลงอย่างมาก ซึ่งหลายคนหวังว่ามันจะมอดลง แต่อย่างไรก็ตาม ภูเขาไฟลูกนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มักหลอกนักวิทยาศาสตร์ได้บ่อยครั้ง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังไม่วางใจ และพยายามเร่งติดตามเบาะแสหรือเงื่อนงำที่อาจบ่งบอกถึงการปะทุขั้นต่อไป
แม้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการปะทุของภูเขาไฟนั้นมาจาก (ปล่อง) ภูเขาไฟ แต่การปะทุทุกครั้งของภูเขาไฟคาบสมุทรเรคยาเนสนั้นเป็นการปะทุจากรอยแยก นั่นคือลาวาได้เคลื่อนตัวใต้เปลือกโลกและผ่านรอยแยกบาง ๆ ขึ้นมาสู่พื้นผิว ซึ่งยากที่จะระบุได้เนื่องจากมีรอยแยกเกิดใหม่ตลอดเวลาและมักจะอยู่ในต่ำแหน่งที่เข้าถึงได้ยาก
เช่นเดียวกับครั้งนี้ แทนที่มันจะปรากฎตัวในจุดที่เงียบสงบใกล้กับภูเขาไฟกราดาลส์ฟยาลล์ (Fagradalsfjall) ที่เป็นพื้นที่ของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในภูมิภาค แต่กลับม้วนตัวหาสปาบลูลากูนซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม โดยมีผู้คน 3,500 คนอาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียง
ต้องขอบคุณการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของภาครัฐที่อพยพชาวเมืองให้ปลอดภัยหลังจากมีสัญญาณการปะทุตั้งแต่เนิ่น ๆ ในเดือนพฤศจิกายน ขณะเดียวกันก็มีเวลาให้เจ้าหน้าที่สร้างกำแพงเบี่ยงลาวาไปรอบ ๆ โรงไฟฟ้า ทว่าภูเขาไฟก็กลับมาปะทุเบา ๆ และสร้างแผ่นดินไหว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่านี่เป็นการสลับฉากสั้น ๆ ก่อนการปะทุครั้งใหญ่ที่อาจตามมา
“ในบริบทของ 3 ปีที่ผ่านมาบนคาบสมุทรเรคยาเนสนั้นค่อนข้างน่าทึ่ง” ทอม วินเดอร์ นักแผ่นดินไหวและภูเขาไฟวิทยาจากมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ กล่าว “สิ่งนี้ตอกย้ำเราว่าใกล้จะปะทุเพียงใดหลังจากการอพยพครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว (เดือนพฤศจิกายน)”
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่แมกมาหารอยแยกของมันเจอและระบายออกมา อาจช่วยลดความรุนแรงในการปะทุได้ แต่ดูเหมือนว่าแมกมายังคงถูกเติมเต็มอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าการปะทุกำลังเติบโตขึ้น และเมืองทางใต้กับโรงไฟฟ้าทางตะวันอาจตกอยู่ในอันตราย
“ดูเหมือนว่ามีแมกมาเข้ามาเกือบต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ดังนั้นจึงดูเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่ามันอาจจะดำเนินต่อไปในอีก 2 เดือนข้างหน้า” วินเดอร์เสริม
ยังมีปริศนาอีกมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงหาคำตอบไม่ได้ พวกเขายังไม่รู้ว่าท่อหรือช่องที่ให้แมกมาเคลื่อนผ่านนั้นใหญ่แค่ไหน ทำให้ยังไม่สามารถประเมินความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น, ยังไม่เข้าใจว่าแมกมาถึงม้วนตัวกลับมา มันเดินทางมาจากไหนกันแน่? และเหตุใดมันถึงไม่เกิดการปะทุทั้งที่สามารถดันแผ่นดินให้สูงขึ้นได้?
ภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่ที่การปะทุเริ่มต้น นักวิจัยสามารถเก็บตัวอย่างของลาวาครั้งใหม่เพื่อนำไปศึกษาองค์ประกอบต่อไป โดยหวังว่าจะให้เบาะแสอะไรบางอย่างได้บ้าง เพื่อที่จะตอบคำถามใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับภูเขาไฟวิทยาว่า จะสามารถคาดการณ์เกี่ยวกับตำแหน่งที่แมกมาจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือที่ใดได้อย่างชัดเจนหรือไม่
“นี่เป็นคำถามที่ดี และน่าสนใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคำถามที่หลาย ๆ จะได้พิจารณาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” ไมค์ เบอร์ตัน (Mike Burton) นักภูเขาไฟวิทยาจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ กล่าว
ในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทำได้คือติดตามและดูการเคลื่อนตัวของหินหลอมเหลว พร้อมกับหวังว่าการสังเกตของพวกเขาจะสามารถเปิดเผยความลับเบื้องหลังการปะทุครั้งใหม่นี้ได้ในที่สุด
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา