ในการเลือกตั้ง 2566 ฮาย-ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช คือหัวหน้าพรรคการเมืองหญิงที่อายุน้อยที่สุด ทว่าเบื้องหลังของเธอก็ไม่ได้น่าสนใจแค่เรื่องอายุ
นั่นเพราะทั้งในฐานะที่เธอคือลูกสาวของ ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส. พรรคพลังประชาชน ผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ และรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร การผ่านประสบการณ์ประธานสโมสรฟุตบอลเชียงราย และการประกาศตัวเข้ามา Re-Branding พรรคเพื่อชาติจากกลุ่มบริหารชุดที่ผ่านมา ท่ามกลางกติกาการเลือกตั้งปัจจุบันที่ไม่เอื้อต่อพรรคการเมืองขนาดเล็ก
“ฮายตั้งใจผลักดันประเด็นที่เป็นความเชื่อของเราอย่างแท้จริง และตั้งใจจะยืนหยัดทำงานตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะสมัยนี้หรือสมัยถัดไป เราคือคนรุ่นใหม่ที่เชื่อว่าการเมืองเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ดีขึ้นได้ ตามสโลแกนพรรคที่ว่า “เพื่อประเทศไทยที่ดีได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า” เธอบอกกับ National Geographic Thailand
แน่ว่าในฐานะที่มีภูมิลำเนาใน จ.เชียงราย เธอย่อมรู้สึกกับปัญหาหมอกควัน มลพิษทางอากาศ และสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ต้องสงสัย และแนวทางแรกที่พรรคเพื่อชาตินำเสนอคือการผลักดันกฎหมาย พ.ร.บ. อากาศสะอาด และยึดหลักคุณภาพชีวิตที่ดี อากาศสะอาด อาหารปลอดภัย น้ำสะอาด
“ถ้ารัฐบาลนี้ทำไม่ได้เราก็จะขอทำเอง ในฐานะผู้ทีมีบ้านในเชียงราย ถ้าถามความรู้สึกคือเรารู้สึกแย่ ต้องทนอาศัยกับสิ่งที่เราไม่ได้เลือก เรารักบ้าน รักชุมชน แต่เราไม่ชอบอากาศในตอนนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องอากาศสะอาด คือสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรจะได้ อย่างที่สอง เมื่อมลพิษเข้าขั้นเป็นเรื่องวิกฤต เราสนับสนุนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชน นั่นเพราะเรื่องสุขภาพรอไม่ได้”
ปวิศรัฐฐ์ มองว่า นอกจากการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดซึ่งเป็นเรื่องปลายเหตุแล้ว ต้นเหตุคือการทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ประชาชน “อิน” ตั้งแต่เด็ก ซึ่งแนวนโยบายของพรรคของการบรรจุหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษา เกษตรกรรม เทรนด์โลกในเรื่องสิ่งแวดล้อม เข้าไปในหลักสูตร
“โลกร้อนไปถึงไหน อะไรคือสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกษตรกรรมปลอดสารทำได้จริงอย่างไร สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักเรียนไทยต้องรู้แต่เด็ก สีเขียวที่พรรคมองและใช้เป็นสัญลักษณ์ไม่ได้มองสิ่งแวดล้อมในมิติของสภาพอากาศ แต่ต้องเชื่อมโยงไปถึงคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต การทำเกษตรกรรม และในระดับบุคล เพื่อตั้งคำถามว่าเราจะดำรงชีวิตอย่างไรไม่ให้เป็นสาเหตุของวงจรที่กระทบสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ เราว่านี่แหละคือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ”
สิ่งที่พรรคเพื่อชาตินำเสนอ จึงเน้นไปที่การปลูกฝังวิธีคิดให้กับเด็ก พร้อมๆกับเน้นรายละเอียดในระดับครอบครัว ชุมชน ได้แก่การมีนโยบายเครื่องดักไขมันในแต่ละครัวเรือน ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนเครื่องดักไขมันราคาไม่เกิน เครื่องละ 1,000 บาท ให้แต่ละครัวเรือน เช่นเดียวกับเปลี่ยนขยะจากอาหารมาผลิตเป็นปุ๋ย ซึ่งจะส่งเสริมวิธีการเปลี่ยนขยะมาเป็นปุ๋ย การการวางระบบให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนขยะเป็นเงิน โดยการมีเครดิตแลกขยะที่ประชาชนสามารถการเอาขยะมาขายในทุกๆ เดือนเพื่อเปลี่ยนขยะเป็นรายได้
“เราคิดว่านโยบายภาพใหญ่ กับระดับย่อยไปด้วยกัน อย่างเรื่องการลดปริมาณขยะ ลดไขมันจากครัวเรือน เราสามารถทำได้เลย เริ่มจากตัวเอง ชุมชน ซึ่งถ้าพรรคได้มาบริหารจะทำให้แต่ละครัวเรือนมีกลไกก่อนปล่อยของเสียสู่สาธารณะ ครอบคลุมทุกครัวเรือน และสำหรับเกษตรกรที่คุ้นชินกับการเผา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ PM 2.5 เราจะส่งเสริมให้มีการใช้เครื่องจักรการเกษตรที่จะช่วยแปรรูปซากการเกษตร เป็นสิ่งที่มีมูลค่า อาจจะเป็น 1 ตำบล 1 เครื่อง ซึ่งจะทำให้ช่วยเรื่อง PM2.5 ได้ส่วนหนึ่ง ควบคู่กับการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”