กันยายน พ.ศ. 2556 ในบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งของนางพนมและนายสุรินทร์ ศรีงามดี ห่างจากชายฝั่งทะเลของสมุทรสาครราวแปดกิโลเมตร ระหว่างการขุดปรับพื้นที่บ่อ มีการค้นพบเสากระโดงและไม้ทับกระดูกงูเรือโบราณ หลังจากนั้นไม่นาน การขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ เรือโบราณพนมสุรินทร์ ที่เป็นบกก็ไม่ใช่ เป็นนํ้าก็ไม่เชิง จึงเริ่มขึ้นและดำเนินเรื่อยมา โดยอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างนักโบราณคดีที่ทำงานบนบกจากสำนักศิลปากรที่ 1 ราชบุรี ซึ่งดูแลพื้นที่ 6 จังหวัดบริเวณอ่าวไทยกับนักโบราณคดีที่ขุดค้นในนํ้าจากกองโบราณคดีใต้นํ้า กรมศิลปากร
อาจเรียกได้ว่า “เรือโบราณพนม-สุรินทร์” ซึ่งพบในบ่อเลี้ยงกุ้งแห่งนั้นเป็นแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ชุ่มนํ้าสภาพเป็นดินเลนเพียงแห่งเดียวใน ประเทศไทยที่มีการขุดค้นอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นเรื่องใหม่และย่อมเป็นความท้าทายสำหรับวงการโบราณคดีของไทย ทั้งในแง่การขุดค้นและการอนุรักษ์ นักโบราณคดีต้องทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างสูงเพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อโบราณวัตถุได้ แต่อีกทางหนึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการ ถมทับของโคลนเลนช่วยถนอมรักษาสภาพเรือและสิ่งของจากยุคพันปีก่อนให้พ้นจากการผุพังทำลายจากอากาศ ฝน และแสงแดด
คำตอบเบื้องต้นเกี่ยวกับเรือไม้โบราณจมเลนลำนี้คุ้มค่ากับความอุตสาหะ จากการตรวจหาค่าอายุของเชือกสีนํ้าตาลและเมล็ดหมาก พบว่าเรือมีอายุ ราว 1,200 ปี และความที่ลำเรือยาว 30 เมตร จึงนับเป็นเรือจมขนาดใหญ่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใช้วิธีต่อเรือแบบต่อเปลือกเรือก่อน (shell-first) แทนที่จะต่อโครงก่อน (frame-first) และ “เย็บ” ยึดชิ้นส่วนของเรือให้ติดกันด้วยเชือกโดยเจาะรูที่ไม้เปลือกเรือ เรือผูกลักษณะนี้เป็นเทคโนโลยีที่พบในคาบสมุทรอาหรับถึงอินเดียใต้ ส่วนไม้ที่ใช้ต่อเรือเป็นไม้ตะเคียนและเต็ง ซึ่งพบได้ทั่วไปในเขตเส้นศูนย์สูตร
พ้นไปจากตัวเรือแล้ว ยังพบโบราณวัตถุอีกจำนวนมากทั้งที่เป็นเครื่องเคลือบจากจีน ไหตอร์ปิโดจากอาหรับที่คล้ายคลึงกับคนโทแอมฟอราซึ่งนิยมในแถบเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งภาชนะดินเผาแบบทวารวดี ตลอดจนอินทรียวัตถุ เช่น เมล็ดพืช เปลือกหอย เชือก หนังสัตว์ เขาและเขี้ยวสัตว์ เครื่องจักสาน ยางไม้ ซึ่งเป็นได้ว่าเป็นทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคของลูกเรือและเป็นสินค้าด้วย
ตามความเห็นของกรรณิการ์ เปรมใจ นักโบราณคดีจากสำนักศิลปากร ที่ 1 ราชบุรี การพบเรือลำนี้ในสภาพสมบูรณ์ เทคโนโลยีการต่อเรือแบบอาหรับ และความหลากหลายของโบราณวัตถุที่พบ นับเป็นองค์ประกอบสามประการที่ทำให้เรือโบราณพนม-สุรินทร์โดดเด่น เช่นเดียวกับที่สิร พลอยมุกดา นักโบราณคดีใต้นํ้าผู้เชี่ยวชาญด้านเรือจม บอก “ในบริบทโลก ลำนี้เจ๋งเพราะค่อนข้างครบ”
สิรคะเนจากอายุของเรือและการตรวจละอองเรณูที่ได้จากตะกอนดิน ว่าบริเวณนี้เคยเป็นทะเล อาจเป็นชายป่าโกงกางที่ “เรืออาจมาติดโขดแล้วต้องขนของออกจนเหลือของอยู่น้อย” เมื่อเทียบปริมาณโบราณวัตถุที่มักพบจากเรือซึ่งจมกลางทะเลแล้ว เขาจึงคาดว่านี่อาจเป็น “เรือเปล่าที่เหลือแต่ของแตกทิ้ง อาจเป็นเรือที่จอดซ่อมจอดเสียจอดเกยตื้นแล้วทิ้งไว้” นอกจากนี้จากตำแหน่งของเสากระโดงเรือที่ดูเหมือนจะถูกถอดออกจากตำแหน่งเดิมแล้วสอดเข้ามาข้างใต้ตัวเรือ รวมทั้งไม้ที่ปักอยู่ตามขอบเรือ สิรคาดว่า ลูกเรืออาจ “พยายามจะกู้ แต่มันไม่รอด” จากการเก็บหลักฐาน เขายังพบว่าเรือโบราณลำนี้มีร่องรอยของการซ่อมแซมมาแล้วเพราะใช้ไม้จากต่างแหล่งและมีรอยเย็บซ่อมรอยแตก เรือจากยุคโบราณที่มาจมอยู่ในอ่าวไทยลำนี้จึงน่าจะเป็นเรือที่ผ่านการใช้งาน มีอายุกรำแดดกรำฝนมาแล้ว
ในระหว่างที่ทีมหนึ่งศึกษาเรือ นักโบราณคดีอีกทีมหนึ่งก็เก็บข้อมูลและอนุรักษ์โบราณวัตถุ พรนัชชา สังข์ประสิทธิ์ เป็นนักโบราณคดีที่บันทึกข้อมูลของถ้วยชามรามไหที่ค้นพบซึ่งมีอายุร่วมสมัยกับเรือ เธอทำความสะอาดชิ้นส่วนไหโบราณด้วยนํ้าสะอาดแล้วบรรจุใส่ถุงตาข่ายสำหรับแช่ในอ่างใส่นํ้าจืดขนาดใหญ่ “โบราณวัตถุมาจากนํ้าเค็มมีเกลืออยู่ข้างใน ถ้าเราทิ้งไว้ให้แห้ง อนุภาคของเกลือที่แทรกอยู่ในเนื้อภาชนะขยายตัวจนทำให้โบราณวัตถุแตกหัก” พรนัชชาเล่า “จึงต้องใส่ไว้ในนํ้าจืดเพื่อให้เกลือคายตัวออกมาได้มากที่สุด วัสดุแต่ละประเภทมีการคายตัวของเกลือที่แตกต่างกัน ใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน เช่น เชือกสีดำที่เอาไว้พันไหตอร์ปิโด แช่นํ้ามาเจ็ดปีก็ยังคายไม่หมด”
ทีมนักโบราณคดีใต้นํ้าที่เป็นฝ่ายขุดค้นจึงต้องทำงานร่วมกับกลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ในการหาวิธีที่ดีที่สุดในการถนอมรักษาโบราณวัตถุเหล่านี้ พรนัชชาบอกว่า ถึงวันนี้ โบราณวัตถุที่คายเกลือออกหมดแล้ว และนำออกมาผึ่งแดดได้ มีเพียงร้อยละห้าของทั้งหมดเท่านั้น
ความที่เรือพนม-สุรินทร์มีอายุร่วมสมัยกับทวารวดี ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่จีนสมัยราชวงศ์ถังค้าขายกับอาหรับสมัยราชวงศ์อับบาสิยะฮ์บนเส้นทางสายไหมทางทะเลระหว่างทะเลอาหรับ ผ่านอินเดีย สู่ทะเลจีนใต้ เป็นไปได้ว่าเรือโบราณลำนี้เข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ยังไม่เคยพบการบันทึกที่ระบุถึงการแวะพักของเรือจากคาบสมุทรอาหรับในเมืองท่าแถบนี้ในเอกสารทางประวัติศาสตร์มาก่อน
“ถ้ามองเรือ ศึกษาเกี่ยวกับเรือ เรือทุกลำมีท่าจอด” สิรกล่าว “ถ้าเรือออกจากท่าหนึ่งก็ต้องไปอีกท่าหนึ่ง ต้องหา นํ้าจืด หาคน ข้าว ยารักษาโรค เราจะมองว่าเรือมาจากไหน จะไปไหน เรามอง การติดต่อระหว่างวัฒนธรรมเหมือนกับ โบราณคดีบก… ถ้าหากมีเรือขนาดนี้มาจม ได้ น่าจะมีชุมชนใหญ่อยู่ในบริเวณนี้แล้ว” การหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ต่างดินแดนและมนุษย์กับทะเลจากเรือจมและ โบราณวัตถุเป็นจุดประสงค์หลักประการ หนึ่งของโบราณคดี นอกเหนือจากการหาค่าอายุและการประกอบสร้างโบราณวัตถุ ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ปลายกันยายน พ.ศ. 2564 การขุด เรือโบราณพนม-สุรินทร์ จังหวัดสมุทรสาคร ตามปีงบประมาณ 2564 เสร็จสิ้นพร้อมกับการศึกษาที่ดำเนินไปเกินครึ่งลำแล้ว ในวันท้ายๆ ของการขุดค้นในรอบนี้ สิรเก็บตัวอย่างโบราณวัตถุในบริเวณเรือ เพื่อส่งตรวจและตรวจตราการเก็บหลักฐานให้รัดกุม ก่อนที่ตัวลำเรือถูกปิดคลุมและปล่อยนํ้าเข้ามาเพื่อรักษาสภาพของเรือเอาไว้ โบราณวัตถุต่างๆจะถูกลำเลียงไปจัดเก็บและเข้าสู่กระบวนการอนุรักษ์ตามขั้นตอน แต่การปะติดปะต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทางของเรือลำนี้และความสัมพันธ์ของเรือต่อผู้คนในดินแดน ต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไป
เรื่อง นิรมล มูนจินดา
ภาพถ่าย เอกรัตน์ ปัญญะธารา
ตีพิมพ์ในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนพฤศจิกายน 2564