เครนที่อยู่เหนือสถานที่ก่อสร้าง ใกล้กำแพงเมืองโบราณต้าถงเป็นทั้งสถานที่ทางประวัติศาสตร์และสถานที่ท่องเที่ยวทางตอนเหนือของมณฑลชานซี ในช่วงปีที่ผ่านมา ต้าถงพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อให้เมืองมีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการทำเหมืองถ่านหินหรือ ทรัพยากรจีน เพียงอย่างเดียว
มลรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเป็นอย่างไรในสหรัฐอเมริกา มณฑลชานซีของประเทศจีนก็เป็นเช่นนั้น ถ่านหินมากมายที่เสริมพลังให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมของชาติต่างๆ ในทวีปเอเชียนั้นถูกขุดขึ้นมาจากหลายเมืองในมณฑลชานซี
แต่การพึ่งพาทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่เพียงความเดียวเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจ ดังนั้น มณฑลนี้จึงสำรวจตัวเลือกทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างกระตือรือร้น เช่น ธุรกิจจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการท่องเที่ยว เมื่อปี 2012 กลุ่มธุรกิจเหมืองแร่แห่งต้าถง (Datong Coal Mine Group) ได้เปลี่ยนบ่อเหมืองที่ถูกสูบแร่ไปจนหมดแล้วให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และเชิญผู้คนมาสวมหมวกคนงานเหมืองและรองเท้าบูทเพื่อสำรวจภูมิทัศน์ในเหมืองอันน่าสะพรึงกลัว
มณฑลชานซีที่เคยเริ่มต้นทำเหมืองถ่านหินอย่างตั้งใจ กลับต้องปิดเหมือง 88 แห่งจาก 1,078 แห่ง ตั้งแต่ปี 2016 คนงานเหมืองนับพันคนสูญเสียงานในกระบวนการปิดเหมืองนี้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐกล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านที่น่าเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่อาจจะแย่มากกว่าเดิมในอนาคต
เมื่อเมืองต้องพึ่งพาแหล่งแร่ท้องถิ่น ป่าไม้ และทรัพยากรที่เริ่มหมดไป ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจมีได้ตั้งแต่ “การมีเศรษฐกิจที่ซบเซาและการอพยพของผู้คนครั้งใหญ่ ไปจนถึงการไม่มีเสถียรภาพในสังคม” เป็ง เจียง หัวหน้าสำนักประจำศูนย์พัฒนาเมืองในประเทศจีนซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองที่อยู่ภายใต้คณะกรรมาธิการพัฒนาชาติและการปฏิรูปของจีน “สิ่งที่สำคัญที่สุดในเมืองเหล่านี้คือการทำอุตสาหกรรมให้มีความหลากหลาย” เจียงกล่าวเสริม
คำพูดของได้เขาสะท้อนไปยังแผนงานจากสภารัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ออกมาในปี 2013 อันเป็นแผนงานที่มีระยะเวลา 7 ปี เพื่อที่จะช่วย 262 เมืองที่ถูกระบุว่าต้องพึ่งพาทรัพยากรซึ่งได้กลายมาอยู่ในภาวะวิกฤตที่จะเกิดความขาดแคลนและมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะล่มสลาย โดยภายในเอกสารได้แบ่งเมืองเหล่านั้น ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ กำลังเติบโต เติบโตเต็มที่ ถดถอย และเกิดใหม่
เมืองฟูซิน (Fuxin) ในมณฑลเหลียวหนิง เป็นตัวอย่างเมืองที่ถดถอย โดยในปี 2001 สภารัฐกิจของจีนได้ประกาศให้ฟูซินเป็นเมืองที่ “ทรัพยากรหมดสิ้น” เนื่องจากการหมดไปของแร่ในเหมืองถ่านหินท้องถิ่น สภารัฐกิจฯ จึงได้แนะนำผู้นำเมืองให้นำแผนปฏิรูปเศรษฐกิจมาใช้ อย่างไรก็ตาม ราวสองทศวรรษต่อมา เมืองนี้ก็ยังคงดิ้นรนเพื่อหาแหล่งเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผลิตภัณฑ์มวลรวมท้องถิ่นลดลงเกือบทุกปีตั้งแต่ปี 2013 ไปจนถึงปี 2017 สวนทางกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของประเทศจีนที่ยังรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้อย่างน้อยร้อยละหก
สำหรับเมืองพึ่งพาทรัพยากรเมืองอื่นๆ ที่พยายามในเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ กำลังเริ่มแสดงผลลัพธ์ไปในทางบวก อย่างเช่นในมณฑลเจียงซี เมืองจิงเตอเจิน (Jingdezhen) ที่มีชื่อเสียงด้านดินเหนียวที่มีคุณภาพ และเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องลายครามมานับร้อยปี เคยรับใช้ทั้งราชสำนักจีน ตลาดอเมริกา และตลาดยุโรปมาแล้ว แต่ภายหลังจากหนึ่งร้อยปีที่ใช้ดินเหนียวเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง ในเมืองก็เหลือดินเหนียวเพียงหนึ่งล้านตันเท่านั้น ซึ่งร้อยละสองอยู่ในเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะมีการขาดแคลนดินเหนียว เมืองจิงเตอเจินก็ได้ลงทุนกับประวัติศาสตร์ของเมืองเพื่อฟื้นฟูประวัติศาสตร์และอุตสาหกรรมการศึกษา ห้องจัดแสดงและฝึกฝนการทำเครื่องลายครามได้แพร่กระจายออกไปและดึงดูดช่างฝีมือผู้มีพรสวรรค์หลายคน
ในปี 2017 หลี่ จุนหุย ช่างภาพ ที่อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่งได้เริ่มต้นบันทึกทั้งความเจ็บปวดและความสำเร็จที่พบเจอทั้งในฟูจิน, จิงเตอเจิน และอีกหกเมืองที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรในแบบเดียวกัน แต่ละเมืองต้องพบเจอความท้าทายที่แตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือชาวเมืองที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับชะตากรรมของเมืองที่มีขึ้นมีลง เขากล่าวและเสริมว่า “พวกเขาเหมือนกับเรือที่ต้องฝ่ากระแสคลื่น”