‘ใช้เวลาเพียง 13 มิลลิวินาทีในการมองภาพ จากนั้นเชื่อสัญชาตญาณ เพราะมนุษย์มีความสามารถในการจับความผิดปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ’ ซิเหวย หลิ่ว (Siwei Lyu) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยบัฟฟาโล สหรัฐอเมริกา ได้แนะนำวิธีที่ที่ดีสุดเพื่อมองหา ‘ความปลอม’ จากเอไอ
เพื่อจับความปลอม ขั้นแรกคือ ใช้เวลาเพียง 13 มิลลิวินาทีในการประมวลภาพแต่ภาพ ด้วยเวลาเท่านั้นก็อาจเพียงพอให้คุณรู้สึกตะหงิดในใจว่ามันคืออะไร แม้จะยังไม่พอที่จะตัดสินว่าเป็นภาพจริงหรือไม่ แต่มันก็เพียงพอให้คุณรู้สึกขัดแย้งกับความเป็นจริง ดังนั้น อย่าเพิกเฉยต่อสัญชาตญาณนั้น
“ครั้งต่อไปที่เราเห็นอะไรน่าสนใจหรือตลก หวังว่าเราจะหยุดคิดสักนิด” หลิ่วกล่าว “หากเรารู้สึกว่ามีอะไรน่าสงสัย เราจะไม่รีทวิตทันที ดังนั้นเราควรจะหยุดปัญหา แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา”
หลิ่วกล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นฝึกฝนสร้างภาพเหมือนโดยดูจากของจริงเป็นจำนวนมาก เขาเรียกสิ่งนี้ว่า ‘Achilles heel’ คือโปรแกรมจะรู้จักเฉพาะสิ่งที่มันได้รับข้อมูล และไม่รู้ว่าจะต้องใส่ใจใน “รายละเอียด” ใดบ้าง ทำให้เราเห็นความผิดปกติชัดเจนเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
เช่นคนในวิดีโอจาก Deepfake ที่ไม่ค่อยกระพริบตา เพราะเอไอถูกสอนจากภาพคนที่ลืมตา รวมไปถึงความเกี่ยวโยงต่าง ๆ ตามที่ พอลโล ออร์โดเวซา (Paulo Ordoveza) นักพัฒนาเว็บไซต์และการยืนยันรูปภาพเสริมว่ามักมีความไม่ต่อเนื่องในเส้นผม แว่นตา หมวก เครื่องประดับ หรือพื้นหลัง
ขณะที่ เดวิด มัตซึโมโต (David Matsumoto) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโกกล่าวว่า ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญ และมนุษย์ก็ใช้มันประเมินสิ่งต่างๆ มาอย่างยาวนาน ผู้คนจะสบตากันเพื่อรับรู้ข้อมูล นี่คือวิธีที่เราตัดสินมิตรและศัตรู รวมถึงประเมินสภาวะทางอารมณ์ของอีกฝ่าย
แต่ภาพที่เอไอสร้างมักมีรูปเงาแปลก ๆ ตรงกลางดวงตา มันอาจสร้างแสงหรือเงาในจุดที่ไม่ควรมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีหน้าต่างหรือพื้นผิวที่สะท้อนแสงในภาพ สิ่งนี้เป็นเรื่องยากสำหรับเอไอ รวมถึงปัญหากับกฏฟิสิกส์ เช่น แรงโน้มถ่วง ด้วยเช่นกัน
ภาพสังเคราะห์จำนวนมากยังไม่มีความเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ เช่น ในภาพพระสันตะปาปาที่สร้างโดยเอไอ หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าสร้อยคอไม้กางเขนของท่านมีขอบโค้ง และยังลอยอยู่เหนือนหน้าอกเล็กน้อย โดยไม่สนใจแรงโน้มถ่วง
แต่วิธีที่จริงจังและยั่งยืนกว่าคือ การตั้งข้อสงสัยถึง “แหล่งที่มา” และตรวจสอบความถูกต้องของภาพหรือวิดีโอเหล่านั้นอีกครั้ง และผู้คนทั่วไปก็สามารถย้อนกลับที่มาได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้การค้นหารูปภาพของกูเกิล (Google) และดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับรูปภาพนี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงอยู่ เนื่องจากปัจจุบันผู้คนเข้าถึงโปรแกรมสร้างภาพปลอมได้ง่ายขึ้นและไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย ซึ่งทำให้ภาพถูกสร้างและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนว่าจะมีผลกระทบอย่างไร ในทางตรงข้าม กลับไม่มีใครลงทุนในวิธีป้องกันความปลอมที่เกิดขึ้น
“มันชัดเจนมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณอนุญาตให้ผู้คนสร้างเสียง วิดีโอ และรูปภาพที่ซับซ้อนมาก ผู้คนจะทำสิ่งที่เลวร้ายกับมัน” ฮานี่ ฟาริด (Hany Farid) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าว
ทางหลิ่วและทีมงาน ได้พยายามพัฒนาโปรแกรมฟรีบนเว็บไซต์ที่ชื่อว่า ‘DeepFake-o-meter’ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือตรวจจับภาพปลอมเหล่านั้น แต่ “งานของเราได้รับความสนใจน้อยลงมาก และโดยพื้นฐานแล้วเรากำลังหมดทุนทรัพย์ในการพัฒนา” เขากล่าว
“เรากำลังพยายามป้องกันไม่ให้ผู้คนสูญเสียทางการเงินหรือถูกหลอกทางจิตใจ” ในตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือเชื่อสัญชาตญาณ ระวังตัว และตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา