แมงดาทะเล (Horseshoe Crab) คือสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งซึ่งในทางชีววิทยามักถูกเรียกรวมกับแมงมุม เห็บ กุ้ง ปู กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงชนิดต่าง ๆ เรียกรวมว่า “สัตว์ขาข้อ” (Arthropod) ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrate) ในไฟลัมอาร์โทรโพดา (Arthropoda) โดยแมงดาทะเลถูกจัดจำแนกอยู่ในหมวดชั้น (Class) เมอโรสโตมาตา (Merostomata) หรือกลุ่มแมงดา
แมงดาทะเลนับเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ยังคงดำรงอาศัยอยู่บนโลก ณ เวลานี้ จากการถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 400 ล้านปีมาแล้ว ในปัจจุบัน โลกของเราเหลือแมงดาทะเลอยู่เพียง 4 ชนิด มี 2 ชนิดที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศไทย และอีก 2 ชนิด อาศัยอยู่ในพื้นที่มหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก แมงดาทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการมายาวนาน แต่โครงสร้าง รูปร่างทางสรีรวิทยา และรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมัน ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของแมงดาทะเลทั้งหลายมากนัก
โครงสร้างหลักทางชีววิทยา
แหล่งที่อยู่อาศัยและวงจรชีวิต
แมงดาทะเลเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปบริเวณป่าชายเลนและตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมถึงบริเวณหาดทรายและหาดโคลน ซึ่งมีระดับน้ำทะเลไม่สูงนัก แต่แมงดาทะเลส่วนใหญ่ใช้เวลาเกือบทั้งปีใต้ทะเลน้ำลึก กินพวกหอย (Molluscs) และไส้เดือนทะเลชนิดต่าง ๆ (Polychaetes) เป็นอาหาร
เมื่ออากาศเข้าสู่ช่วงอบอุ่น (ฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน) ของทุกปี แมงดาทะเลจะอพยพมายังเขตน้ำตื้น เพื่อจับคู่ผสมพันธุ์ตามบริเวณชายหาด โดยที่ตัวเมียสามารถวางไข่ได้มากถึง 90,000 ฟองต่อฤดูกาล แม้ว่าไข่เหล่านี้ จะมีสัดส่วนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดจนกระทั่งเติบโตเต็มวัย เนื่องจากตัวอ่อนและไข่ของแมงดาทะเลเป็นแหล่งอาหารหลักของนกอพยพและสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด ตัวอ่อนของแมงดาทะเลมีการลอกคราบหลายครั้ง (ราว 15 ถึง 20 ครั้งต่อปี) ซึ่งจะลดลงตามลำดับเมื่อแมงดาทะเลเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย แมงดาทะเลที่โตเต็มที่จะมีอายุราว 9 ถึง 12 ปี จึงมีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่อีกครั้ง
แมงดาทะเล 2 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย ได้แก่
แมงดาถ้วย หรือแมงดาไฟ (Carcinoscorpius Rotundicauda) หรือ “เห-รา” ในภาษาท้องถิ่น
แมงดาจาน หรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus Gigas)
การนำแมงดาทะเลมาประกอบอาหารด้วยการผ่านความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการต้ม การปิ้ง หรือการทอด กรรมวิธีเหล่านี้ ไม่สามารถทำลายพิษของแมงดาทะเลลงได้ อีกทั้ง ในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาพิษชนิดนี้โดยเฉพาะ ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่ มีเพียงการนำพิษออกจากร่างกายผู้ป่วยโดยตรงเท่านั้น จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วย ซึ่งได้รับพิษจะจบลงด้วยการเสียชีวิต ดังนั้น การนำแมงดาทะเลมารับประทานควรผ่านการปรุงจากผู้เชี่ยวชาญ ประชาชนทั่วไปไม่ควรนำไข่แมงดามาปรุงรับประทานกันเอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูวางไข่ของพวกมัน ซึ่งไข่ของแมงดาทะเลมีการสะสมสารพิษสูงสุด
สืบค้นและเรียบเรียง
คัดคณัฐ ชื่นวงศ์อรุณ
ข้อมูลอ้างอิง
ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี – https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul95/v3n1/Hors_crab
Saint Louis Zoo – https://www.stlzoo.org/visit/thingstoseeanddo/stingraysatcaribbeancove/horseshoecrabfacts
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) – https://www.nstda.or.th/th/news/13084-horseshoecrab
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ – https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/science/10000-3737.html