ดวงจันทร์บริวาร ดาวพฤหัสบดี ผู้พิทักษ์โลกจากดาวหางและอุกกาบาต

ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) นอกจากจะเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะแล้ว ยังมีดวงจันทร์บริวารมากถึง 92 ดวง ซึ่งดวงจันทร์หลักๆ ของดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ดวงนี้ ยังมีบทบาทในการปกป้องโลกอีกด้วย

ดาวพฤหัสบดี คือดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ ที่มีมวลประมาณ 1 ใน 1,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ ราว 10 เท่า แต่ใหญ่กว่าโลกถึง 11 เท่า ถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ หากดาวพฤหัสบดีมีขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล โลกจะมีขนาดเท่าลูกปิงปอง

สำหรับชื่อละตินของดาวพฤหัสบดีได้แก่ จูปิเตอร์ มาจากเทพเจ้าโรมัน เทพแห่งท้องฟ้า ราชาแห่งเทพและมนุษย์ทั้งมวล ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส

(ในกรีกเรียกว่า ซุส) สัญลักษณ์แทนดาวพฤหัสบดี เป็นรูปทรงสายฟ้าของเทพเจ้าจูปิเตอร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดาวยักษ์

วงแหวนของ ดาวพฤหัสบดี

หลายคนอาจไม่ทราบว่า ดาวพฤหัสบดี ก็มีวงแหวนเหมือนกับ ดาวเสาร์ แต่มีความเลือนลางและขนาดเล็กกว่า สามารถเห็นได้ในรังสีอินฟราเรดทั้งจากกล้องโทรทรรศน์ที่พื้นโลกและจากยานกาลิเลโอ

วงแหวนของดาวพฤหัสค่อนข้างมืด โดยอาจประกอบด้วยเศษหินขนาดเล็ก และไม่พบน้ำแข็ง เหมือนที่พบในวงแหวนของดาวเสาร์ วัตถุที่อยู่ในวงแหวนของดาวพฤหัสอาจไม่อยู่ในวงแหวนนาน เนื่องจากแรงเหวี่ยงที่เกิดจากบรรยากาศและสนามแม่เหล็ก

อนึ่ง มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าวงแหวนได้วัตถุเพิ่มเติมจากฝุ่นที่เกิดจากอุกกาบาตตกชนดาวบริวารวงใน ซึ่งเนื่องจากพลังงานมหาศาลจากแรงดึงดูดขนาดใหญ่ของดาวพฤหัสบดี

ดาวพฤหัสบดี ผู้พิทักษ์โลก

ดาวพฤหัสบดี ดาวลำดับที่ 5 ในระบบสุริยะ และเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า แต่บทบาทที่สำคัญจริงๆ ของ ดาวพฤหัสบดี น่าจะอยู่ที่การรับเอาดาวหางและอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่เข้ามาในระบบสุริยะแทน โลก รวมถึงดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ

เหตุการณ์ดาวหางชนดาวพฤหัสบดีครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คือเมื่อ ปี ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9

ประกอบด้วยดาวหางจำนวน 21 ชิ้น เคลื่อนที่ไล่ตามกันเหมือนขบวนรถไฟ มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 กิโลเมตร ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่าแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีได้ฉีกดาวหางแตกออกเป็นชิ้นๆ โดยเป็นครั้งแรกๆ ที่มนุษย์สามารถสังเกตการณ์ได้จากโลก

ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีตรงด้านซีกใต้โดยเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 22 กรกฎาคม ปี 1994 ด้วยอัตราเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อวินาที เกิดการระเบิดเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นที 6 ล้านตัน หรือเทียบเท่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มฮิโรชิมา 100 ล้านลูก แรงระเบิดมีรัศมีกระจายไปถึง 8,000 กิโลเมตร ทำให้เกิดฝุ่นดาวหางปกคลุมสูงขึ้นมาเหนือเมฆในชั้นบรรยากาศโจเวียนถึง 3,000 กว่ากิโลเมตร จนกระทั่งเกิดรอยคล้ำบนชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี เห็นได้ชัดเจนต่อเนื่องกันนานเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากนั้น

แน่นอนว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ที่ผ่านมา ดาวพฤหัสบดี เผชิญกับการพุ่งชนของดาวหางและอุกกาบาตขนาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากตำแหน่งของดาวพฤหัสบดีตรงกับเข็มขัดดาวเคราะห์น้อยของระบบสุริยะทำให้ อำนาจแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีเกิดเป็น จุดลากรางจ์ ขึ้นมา ซึ่งเป็นจุดที่วัตถุใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในบริเวณนี้จะโคจรไปพร้อมๆ กับดาวพฤหัสบดี

ดังนั้น เมื่อมีวัตถุจากนอกระบบสุริยะทะลุเข้ามาในบริเวณแถบดาวเคราะห์ อำนาจแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีจะทำหน้าที่เป็น เครื่องดูดฝุ่น ของระบบสุริยะเพื่อดักจับวัตถุแปลกปลอมอย่างดาวเคราะห์น้อยที่หลุดเข้ามาไม่ให้ผ่านเข้าไปในแถบดาวเคราะห์ชั้นในได้ ซึ่งวัตถุบางส่วนที่ไม่อยู่ในจุดลากรางจ์ หากอยู่ใกล้ ดาวพฤหัสบดี มากพอก็จะถูกดูดให้ไปชนกับมันในที่สุด สมกับตำแหน่งผู้พิทักษ์ของระบบสุริยะ

ดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี

ดาวพฤหัสบดี กับ ดาวเสาร์ ผลัดกันแย่งตำแหน่ง ดาวที่มีดวงจันทร์บริวารมากที่สุด โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2023  มีการพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีเพิ่มอีก 12 ดวง รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 92 ดวง จึงสามารถล้มแชมป์เก่าอย่าง ดาวเสาร์ ที่มีดวงจันทร์บริวารอยู่ 83 ดวงได้สำเร็จ

ทว่า ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน สหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติได้รายงานการค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เพิ่มอีก 62 ดวง ทำให้รวมแล้วดาวเสาร์มีดวงจันทร์มากถึง 145 ดวง กลับมาเป็นดาวที่มีดวงจันทร์บริวารมากที่สุดในระบบสุริยะเหมือนเดิม

กระนั้น ศักยภาพของดวงจันทร์บริวารดาวพฤหัสบดี ยังถือว่ามีขนาดใหญ่และมีประโยชน์กว่าดวงจันทร์ของดาวอื่นๆ ในระบบสุริยะ ดาวบริวารที่มีมวลมากที่สุด 4 ดวงหรือดวงจันทร์ของกาลิเลโอ (กลุ่มกาลิเลียน) ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1610 ถือเป็นวัตถุในระบบสุริยะกลุ่มแรกๆ ที่ถูกค้นพบว่าโคจรรอบดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกหรือดวงอาทิตย์ นับตั้งแต่สิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีดาวบริวารขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกค้นพบและได้รับการตั้งชื่อตามชื่อคนรักหรือธิดาของเทพเจ้าจูปิเตอร์ของโรมัน ได้แก่ แกนีมีด ,ไอโอ , คาลลิสโต และ ยูโรปา

ดวงจันทร์แกนีมีด เจ้าของตำแหน่งดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ (ใหญ่กว่าดาวพุธ) และวัตถุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะหากไม่นับรวมดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง 8 ดวง แต่มวลของแกนีมีดกลับน้อยกว่าดาวพุธ 45% เนื่องจากพื้นผิวของดวงจันทร์ดวงนี้มีน้ำแข็งและแอมโมเนียเป็นส่วนประกอบหลัก แตกต่างจากพื้นผิวของดาวพุธที่เป็นหินซิลิกาซึ่งมีความหนาแน่นสูง

ดวงจันทร์ไอโอ ดวงที่อยู่ในสุด เส้นผ่านศูนย์กลาง 3,642 กิโลเมตร พื้นผิวดาวบริวารมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับมากกว่า 400 ลูก ซึ่งยังปะทุซัลเฟอร์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมา

ดวงจันทร์คาลลิสโต (คัลลิสโต) เป็นดาวบริวารวงนอกสุดของดาวพฤหัสบดีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 99% ของเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพุธ แต่มีมวลเพียงประมาณหนึ่งในสามของดาวพุธ พื้นผิวประกอบไปด้วยหิน และน้ำแข็ง

ดวงจันทร์ยูโรปา คือดาวบริวารที่เล็กที่สุดในกลุ่มกาลิเลโอ ยังมีมวลมากกว่ามวลของดาวบริวารนอกกลุ่มทั้งหมดรวมกันถึง 5,000 เท่า วงโคจรก็มีทั้งเกือบเป็นวงกลมสมบูรณ์ เอียง และเป็นวงรี หลายดวงยังโคจรไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการหมุนของดาวพฤหัสบดีอีกด้วย

นอกจาก ดาวพฤหัสบดี จะรับเอาวัตถุอวกาศแทนดาวอื่นๆ ในระบบสุริยะแล้ว แกนีมีด ,ไอโอ , คาลลิสโต , ยูโรปา และดวงจันทร์บริวารอื่นๆ ในวงนอกก็ถูกดาวหางกับอุกกาบาตพุ่งชนเช่นกัน

มหาสมุทรในดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี อีกหนึ่งความหวังของมนุษย์

แม้ว่าส่วนใหญ่เรามักได้ยินว่า ดาวอังคาร คือดาวที่ใกล้เคียงกับการที่มนุษย์จะสามารถย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ได้ในอนาคต เพราะมีโซนที่มีนํ้าแข็งอยู่ แต่นาซาก็ออกมายืนยันว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ไม่อาจไปใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังควรได้ เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่น , สภาพอากาศที่หนาวจัด และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แทรกซึมอยู่ในดิน

อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์พบว่า มีมหาสมุทรในจุดที่ลึกภายใต้โลกน้ำแข็งบนดวงจันทร์ 3 ดวงของดาวพฤหัสบดี คือ คาลลิสโต ยูโรปา และแกนีมีด ซึ่งเมื่อเทียบองค์ประกอบต่างๆ ยูโรปา คือดาวที่นักวิทยาศาสตร์ในโลกสนใจที่สุด เนื่องจากเชื่อว่ามีมหาสมุทรขนาดใหญ่ใต้เปลือกน้ำแข็งบนผิวที่อาจมีมวลน้ำมากกว่ามหาสมุทรบนโลก

ขณะเดียวกัน ยูโรปาอาจ ยังมีธาตุองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต เช่นเดียวกับพลังงานจากอิทธิพลแรงโน้มถ่วงอันทรงพลังของดาวพฤหัสบดี ซึ่งทั้งสามอย่างเป็นปัจจัยสำคัญให้ชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้ จึงกลายเป็นหนึ่งความหวังของมนุษย์ที่สักวันหนึ่งอาจไปตั้งรกรากบนนั้นได้

 

สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์

 

ภาพจาก ILLUSTRATION BY A.FAZEKAS, SKYSAFARI

Nationalgeographic

 

ข้อมูลอ้างอิง

wikipedia

Nasa

อ่านเพิ่มเติม : เจมส์เวบบ์ พบ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” บ่งชี้ว่ามหาสมุทรใต้พื้นน้ำแข็ง “ยูโรปา” ดาวบริวารดาวพฤหัสบดี อาจมีสิ่งมีชีวิตซ่อนอยู่

 

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.