นักท่องเที่ยวหลายคนที่วางแผนจะไปเยี่ยมชม ” อ่าวมาหยา ” คงต้องพับแผนเก็บไปก่อน เมื่อกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขยายระยะเวลาปิดการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี ออกไปอย่างไม่มีกำหนด
อ่าวมาหยาตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี มีชื่อเสียงมาจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะบีช (The Beach) ที่ออกฉายเมื่อปี 2000 นับแต่นั้นมา อ่าวมาหยาก็กลายเป็นที่รู้จัก และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ที่มาเยือนทะเลภาคใต้ ของไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตัดสินใจประกาศปิดอ่าวมาหยา เพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติทั้งทางบก และทางทะเล เป็นระยะเวลาสี่เดือน (ตามกำหนดการเดิมคือวันที่ 1 มิถุนายน – 30 กันยายน 2561) ตามข้อเสนอแนะของนักวิชาการ ที่นำโดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ กับกลุ่มพิทักษ์พีพี กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นที่ประกอบไปด้วยชาวบ้าน และผู้ประกอบการบนเกาะพีพีกว่าร้อยคน
ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการสำรวจพบว่า แนวปะการังภายในอ่าวมาหยาเสียหายอย่างหนักจนเหลือปะการังโขดที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่กี่ก้อน เพราะต้องเจอกับกองทัพเรือเร็วที่วิ่งเข้า-ออกอ่าวมาหยา เกือบตลอดทั้งวัน ต่อเนื่องมาหลายสิบปี นอกจากนี้ ระบบนิเวศบนเกาะยังเผชิญกับทัพนักท่องเที่ยว ที่มีมากถึงวันละ 4,000-5,000 คนทุกวัน
“ผมเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว และทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า เรายอมให้ทะเลถูกทำร้ายอย่างนี้ไม่ได้อีกต่อไป แม้กระทั่ง ผู้ประกอบการและชาวบ้านที่อาจจะเสียผลประโยชน์จากการปิดพื้นที่ครั้งนี้” ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรืออาจารย์ธรณ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็น
แม้การปิดอ่าวมาหยาจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โปรแกรมทัวร์ และทำให้สูญเสียรายได้มหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ข่าวการปิดอ่าวมาหยาก็ดังไปทั่วโลก เสียงตอบรับจากนานาประเทศล้วนแล้วแต่ออกมาในทางชื่นชมว่า ในที่สุดรัฐบาลไทยก็เลือกคุ้มครองธรรมชาติ แทนที่จะปล่อยให้การท่องเที่ยวทำลายแหล่งธรรมชาติแห่งนี้ไปเรื่อยๆ
กรมอุทยานฯ บอกว่า หลังจากปิดอ่าวมาหยาสี่เดือนครั้งนี้แล้ว ก็จะไม่อนุญาตให้นำเรือเข้าอ่าวมาหยาอีกต่อไป โดยจะกำหนดเส้นทางศึกษาธรรมชาติใหม่ และอนุญาตให้เรือทั้งหมดพานักท่องเที่ยวเข้าจอดทางด้านหลังเกาะ เพื่อลดผลกระทบต่อปะการังและระบบนิเวศ พร้อมกับพัฒนาเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติแบบยกพื้น (boardwalk nature trail) เพื่อลดการเหยียบย่ำพืชพรรณชายหาด และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้เกิน 2,000 คนต่อวัน
การปิดอ่าวมาหยานับเป็นความหวังสำคัญ และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูปการจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะหากสามารถปฏิวัติรูปแบบการท่องเที่ยวที่อ่าวมาหยาได้สำเร็จ เราย่อมสามารถแก้ปัญหาพื้นที่อื่นๆ ได้ไม่ยาก เพราะคงไม่มีพื้นที่คุ้มครองทางทะเลแห่งไหน ที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผลประโยชน์เกี่ยวข้องมากเท่าที่เกาะพีพีอีกแล้ว
“ผมคิดว่ายังไม่สายเกินไป ตอนนี้คนตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์ทะเลกว่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนเรารับรู้กันแต่ปัญหา น้ำเสีย ขยะล้นทะเล การท่องเที่ยวแบบทำลายล้าง สัตว์ทะเลหายากตายลงทุกวัน แต่เรามักจะไม่คิดว่ามีทางออก หรือเราจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ผมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราทำได้ ทุกอย่างมีทางออก อยู่ที่ว่าเราจะทำไหม การอนุรักษ์ทะเลต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ เรารอไม่ได้อีกแล้วหากพื้นที่ที่สำคัญขนาดอ่าวมาหยาเรายังรักษาไว้ไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าทะเลไทยจะเหลืออะไรอีก” อาจารย์ธรณ์ ทิ้งท้าย
ภาพถ่าย ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย และหาญณเรศ หริพ่าย
อ่านเพิ่มเติม :