เมื่อสิบกว่าปีก่อน เรากับเพื่อนๆ เช่า เรือคายัค พายจากอ่าวนางข้ามไปยังหาดไร่เลย์ เรือคายัคไฟเบอร์กลาสสองลำ ทุกคนไม่เคยมีประสบการณ์ในการพายเรือออกทะเลมาก่อน ตลอดทางโดนลมซัด คลื่นสาด แถมยังล้มคว่ำตอนพยายามเอาเรือขึ้นจอดหน้าหาด วันนั้นจบลงด้วยเสียงเพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “คายัคคือกีฬาที่อันตรายที่สุด” ในใจของเราค้านเบาๆ แต่ไม่ได้แย้งออกไป
เรื่อง: ชุตินันท์ โมรา (digitalay)
ภาพ: ชุตินันท์ โมรา (digitalay) พลพิชญ์ คมสัน (digitalay)
เริ่มต้นที่คลอง
กรุงเทพคือเวนิสแห่งตะวันออก เป็นสิ่งที่ได้ยินกันจนเคยชิน สมาพันธ์เรือพับของพวกเราก็เริ่มต้นกันตามคลองในกรุง คลองประเวศส่วนที่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ คือคลองเส้นแรกที่เราได้สัมผัสชีวิตเรียดน้ำ
กลุ่มเพื่อนที่ติดกับดักชีวิตในเมืองเหมือนกัน เริ่มหันกลับมามองสายน้ำที่หลายคนลืมมันไป และพบว่าความสงบของสายน้ำช่วยให้เราผ่อนคลายจากความเครียดของเมืองได้เป็นอย่างดี หลังจากการพายเรือเพียงไม่กี่ชั่วโมงในคลองประเวศ เราก็ตัดสินใจซื้อเรือ
เรือพับสำหรับคนเมือง
มนุษย์คอนโดอย่างเรา พูดเต็มปากได้เลยว่าบ้านไม่มีที่ แค่จักรยานก็กินที่ห้องนั่งเล่นไปครึ่งหนึ่งแล้ว รถที่มีอยู่ก็เป็นคันเล็กติด rack ขนเรือบนหลังคาก็ไม่ไหว ความฝันในการมีเรือเป็นของตัวเองจึงมาลงตัวที่ เรือคายัค แบบพับ
ที่จริงแล้วเรือพับมีใช้กันมายาวนานเป็นร้อยปี เรือพับรุ่นแรกๆ พัฒนามาจากเรือล่าสัตว์ของชาวอินุอิท ตัวเรือแยกชิ้นเฟรมกับชิ้นเปลือก ชิ้นเฟรมจะแยกชิ้นพับเก็บใส่กระเป๋าได้ เรือพับแบบนี้มีความสามารถในการออกทะเลสูง แต่การเก็บล้างก็เป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะคนอยู่คอนโดจะกางตากส่วนเปลือกไว้ตรงไหน แค่ตากผ้าตรงระเบียงก็หมดพื้นที่แล้ว
ปัญหาของเราจบลงที่เรือพับฟิวเจอร์บอร์ด มันอาจจะไม่ใช่เรือที่ดีที่สุด แต่ตอบโจทย์ของมนุษย์เมืองอย่างเราที่สุด
คายัคทัวร์ริ่ง
การเลือกซื้อเรือลำหนึ่งก็คล้ายกับการเลือกซื้อจักรยาน ไม่มีเรือลำไหนทำได้ดีทุกอย่าง เราต้องมีภาพในใจว่ากิจกรรมแบบไหนบ้างที่เราอยากทำ จะพายในแม่น้ำลำคลองเท่านั้น หรือจะพายล่องแก่ง หรือจะพายพร้อมแบกอุปกรณ์แคมปิ้ง แล้วจะพายออกทะเลที่มีคลื่นหรือเปล่า คำถามเหล่านี้จะช่วยตัดตัวเลือกให้เหลือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด
เมื่อได้เรือมาซักพักก็วางแผนออกเดินทางส่งท้ายปี พายเรือเลาะจากกระบี่ไปพังงา ด้วยเวลา 3 วัน
ดินแดนแห่งเกาะ
กระบี่และพังงาคือสวรรค์ของเรือเล็ก ลักษณะเกาะหินปูนแบบคาร์สต์ (karst) ที่ยุบตัวแล้วแยกออกมาจากแผ่นดินใหญ่เป็นปราการช่วยป้องกันลมแรงของทะเลเปิด คลื่นและลมด้านในเบาบางแทบไม่ต่างกับอยู่ในทะเลสาบ
ทริปนี้เป็นการพายแบบ touring พายกินระยะเปลี่ยนที่นอนไปทุกวัน พกสัมภาระติดเรือไปตลอดทาง วางแผนกันว่าจะพายเฉลี่ยระยะทาง 25 กิโลเมตรต่อวัน เลาะขอบแผ่นดินไปเรื่อยๆ ไม่ตัดกลางอ่าว เพราะถึงแม้จะเป็นทะเลด้านใน แต่เราก็ไม่อยากจะเพิ่มความเสี่ยง
พวกเรา 9 ชีวิตโหลดเรือพับขึ้นเครื่องไปจากกรุงเทพ จุดเริ่มต้นอยู่ที่อำเภอท่าเลน จังหวัดกระบี่
อ่านต่อหน้า 2
ร้านกาแฟในแคนยอนเขา
คืนแรกเรานอนกันที่โรงแรม ท่าน้ำของโรงแรมเป็นจุดปล่อยตัวทัวร์คายัคเที่ยวชมแคนยอนซึ่งมีนักท่องเที่ยวมากันทุกวัน ช่องเขาแคนยอนนี้มีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร เวลาน้ำขึ้นน้ำจะค่อยๆ ดันไหลเข้าไปในช่องเขา พายเข้าไปเป็นทางวันเวย์ห้ามวกกลับ พวกเราจะใช้แคนยอนเป็นเส้นทางวอร์มอัพก่อนเริ่มเดินทางจริง กะกันว่าจะพกอุปกรณ์ไปต้มกาแฟสดกินในแคนยอน แล้วค่อยกลับมากินข้าวเช้าเต็มรูปแบบที่โรงแรมก่อนที่นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จะมาถึง
หกโมงเช้า พวกเราเริ่มกางและประกอบร่างเรือพับ เช้านี้น้ำลงต่ำ ยังขึ้นไม่ถึงตลิ่งท่าน้ำ สุดท้ายต้องหิ้วเรือลุยเลนลงไปเพื่อออกตัว กองทัพเรือพับของพวกเรากระจายตัวกันเกะกะ เพื่อซึมซับบรรยากาศยามเช้า อากาศสดชื่นช่วยไล่กลิ่นเมืองที่ติดตัวพวกเราอยู่ให้หลุดออกไป
ช่องผาชันที่เป็นทางเข้าแคนยอนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่มีสันทรายขวางหน้าเราอยู่ไม่ให้พายตัดตรงไปได้ วันนี้เป็นวันแรม 3 ค่ำ เพิ่งผ่านพ้นคืนเดือนมืดไปไม่กี่วัน ระดับความต่างของน้ำขึ้นและลงจึงยังสูงมาก
เมื่อหาร่องน้ำลึกได้แล้ว ก็เริ่มพายมุ่งหน้าสู่ทางเข้าช่องเขา แค่ปากทางเข้าก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดออกมาจากด้านใน น้ำกำลังขึ้นค่อยๆ ดันเรือเข้าไปในช่องเขาอย่างช้าๆ แทบไม่ต้องออกแรงพาย สิ่งที่ต้องทำคือคอยคัดให้เรือล่องผ่านไปโดยไม่ชนผนัง ช่องเขาหักเลี้ยวนำเราเข้าสู่ห้องโถงกว้าง
ผนังชันสูงแทรกตัวด้วยต้นไม้เขียวครึ้มเย็นตา ดวงอาทิตย์ยังขึ้นสูงไม่พอจะสาดแสงลงมาในห้องโถงนี้ได้ อากาศภายในเย็นชื้น สันทรายภายในห้องมีใบไม้ร่วงสีแดงประดับอยู่ประปราย
มันสวยยิ่งกว่าภาพในจินตนาการเสียอีก
พวกเราปล่อยเรือไหลไปตามแรงน้ำจากห้องนึงสู่อีกห้องนึง เรียงตัวกันเป็นแถว ร่องน้ำไม่กว้างพอให้แซงลำข้างหน้า แต่ก็ไม่มีใครรีบร้อนอะไร
สันทรายใหญ่ปรากฎขึ้นตรงกลาง ดูคล้ายกับเกาะกลางน้ำ ผลโหวตเป็นเอกฉันท์ว่านี่คือจุดที่เราจะเปิดร้านกาแฟมื้อเช้ากัน ทุกคนทยอยเอาเรือเข้าจอดที่สันหาด เริ่มหยิบอุปกรณ์ชงกาแฟออกมาจากในเรือและนั่นคือตอนที่เรารู้ตัวว่าเราลืมกระป๋องแก๊สเชื้อเพลิงไว้ที่โรงแรม!
ความดื้อรั้นที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ พวกเราจึงเก็บฟืนมาก่อกองไฟ ฟืนสดติดไฟยากส่งควันโขมงลอยสู่ด้านบนของช่องเขา ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นสูงแล้ว น้ำก็ค่อยๆ ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ พื้นที่เกาะร้านกาแฟหดเล็กลงเรื่อยๆ คนที่ไม่ได้ดื้อรั้นกับการจุดไฟมากนักก็ผลัดกันไปช่วยย้ายเรือหนีน้ำท่วม
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ร้านกาแฟที่อร่อยที่สุดในแคนยอนก็เปิดทำการ
อ่านต่อหน้า 3
เริ่มต้นทัวร์ริ่ง
พวกเราเที่ยวแคนยอนกันเพลินไปหน่อย กว่าจะพายกลับมาถึงที่พักก็เกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว ที่พักคืนต่อไปของพวกเราอยู่ที่บ้านไหนหนังซึ่งห่างออกไป 13 กิโลเมตร ระยะไม่มาก แต่ก็ควรจะรีบกินข้าวแล้วรีบออกตัว
ข้าวของทั้งหมดที่พกมาถูกแยกเป็นก้อนเล็กๆ ใส่ถุงกันน้ำ แล้วโหลดเข้าไปตามส่วนต่างๆ ของเรือ การแยกของออกเป็นถุงใบเล็กๆ ทำให้เราจัดการพื้นที่ได้ง่ายกว่าใบใหญ่ใบเดียว
สิ่งที่ขาดไม่ได้คืออาหารและน้ำดื่ม เราแยกถั่วถุงเล็กๆ ใส่กระเป๋าชูชีพติดตัวไว้ แล้วเติมน้ำใส่กระติกทุกใบที่เตรียมมา จัดการเก็บกระติกใบนึงไว้ใกล้ตัว สำหรับจิบกินไปตลอดทาง อีก 2 ใบเก็บในที่หยิบยากกว่าหน่อย รวมแล้วเราตุนน้ำดื่มไปประมาณ 2 ลิตร มีเหลือดีกว่าขาด การขาดน้ำกลางทะเลอาจจะนำไปสู่อันตรายใหญ่หลวงได้
เมื่อทุกอย่างพร้อม กองทัพเก้าพับก็เคลื่อนตัวออกจากท่าเลนกันด้วยความคึกคัก หลังจากนี้คือคายัคทัวร์ริ่งของจริง
พวกเราพายเลาะเลียบแผ่นดินใหญ่ไปเรื่อยๆ เมื่อพ้นหัวมุมอ่าว ก็มีลมตีมาให้พอมีคลื่นเบาๆ ในกองเรือ 9 ลำ มีเรือแบบลำกว้างซึ่งเหมาะกับทะเลสาบหรือแม่น้ำเท่านั้นมาด้วย แผนของพวกเราจึงไม่มีความบ้าบิ่นใดๆ ทั้งสิ้น เลาะขอบแผ่นดินไปเรื่อยๆ เท่านั้น
สงครามที่แท้จริง
แดดยามบ่ายสาดมาพร้อมกับความร้อนรุนแรง ความสนุกของยามเช้าหดหายไปหมดแล้ว ร่างกายเริ่มงอแงจากการนั่งในเรือเล็กมาหลายชั่วโมง
แนวป่าชายเลนขนาบอยู่ทางขวาในระยะไกล รอบข้างไม่มีหาดให้เห็น เฉียงไปทางซ้ายมือมีเกาะเล็กโดดเด่นอยู่เกาะเดียว ทุกลำหันหัวเรือดิ่งไปที่เกาะนั้นโดยไม่ได้นัดหมาย ร่มเงาด้านหลังเกาะช่วยชุบชีวิตพวกเราอีกครั้ง เอาไม้พายพาดยึดเรือติดกันเป็นแพ ผลัดกันเอนตัวนอนเอาขาพาดหน้าเรือเพื่อพักร่างกาย หยิบขนมและเครื่องดื่มมาเติมพลังไล่ความล้า อุณหภูมิใต้ร่มเงาช่างเย็นสบาย แดดจ้าด้านนอกดูเป็นสมรภูมิรบน่ารังเกียจที่ไม่มีใครอยากฝ่าไป จุดพักนี้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย พวกเราพักอยู่นานไม่ได้ จำใจต้องออกเดินทางต่อ
ทิวเขาที่เป็นจุดหมายของวันเริ่มโผล่ให้เห็นในสายตา แต่ไม่ว่าจะพายเท่าไหร่ระยะห่างก็ยังดูเหมือนเท่าเดิม ทิศทางที่เรามุ่งไปสวนกับกระแสน้ำ ถ้าหยุดมือเมื่อไหร่ก็เหมือนเรือจะถอยหลัง กองเรือเริ่มกระจายตัวทิ้งห่างกันตามความแข็งแรงของคนพาย
อ่านต่อหน้า 4
น้ำลดเลนผุด
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง ฟ้าเริ่มมีเฉดสีชมพูอ่อนมาเจือ บางจังหวะใบพายของเราแตะตะกุยโคลนเลนติดขึ้นมา ยิ่งพายต่อ น้ำก็ยิ่งดูเหมือนจะตื้นลงเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ตื้นจนยืนถึง เราซึ่งอยู่รั้งท้ายจึงตัดสินใจลงจากเรือมายืดขา และทำธุระส่วนตัวที่เก็บสะสมมาตั้งแต่ท่าเลน
เรือที่อยู่หน้าสุดของขบวนไปถึงเกาะหินปูนหน้าทางเข้าคลองที่เป็นจุดหมายแล้ว แต่ว่าในจังหวะที่รอกันอยู่นั้นไม่ทันได้ระวัง น้ำลงเร็วกว่าที่คิดหาทางออกมาร่องน้ำด้านนอกไม่ทัน พื้นเลนผุดล้อมเรือไว้ทุกด้าน ต้องลงมาเดินลากเรือออกมาด้านนอก เลนก็นิ่มมากเหยียบแล้วจมไปเกือบทั้งขา สุดท้ายแล้วต้องเอาตัวไถมากับพื้นเพื่อเฉลี่ยน้ำหนักไม่ให้จม
เส้นทางสั้นสุดเพื่อจะเข้าคลองไหนหนังตามแผนเดิมถูกปิดขวางเสียแล้ว ต้องพายอ้อมออกไปอีก ระยะอ้อมนั้นน้อยนิดแต่ในใจกลับคิดว่าเป็นการอ้อมที่ไกลเหลือเกิน กว่าจะอ้อมสันดอนมาพ้นครบทุกลำ ฟ้าก็มืดพอดี พรายน้ำเรืองแสงขึ้นมาตามฝีพายทุกจ้วง ถึงแม้พวกเราจะพกไฟฉายติดตัวมาพร้อมแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องใช้กันตั้งแต่วันแรกแบบนี้
บ้านไหนหนัง
ผู้ใหญ่บ้านไหนหนังเจ้าของที่พักคืนนี้เห็นพวกเราไม่เข้าไปสักที เลยพายเรือออกมาตามด้วยความเป็นห่วง ในคลองช่วงสุดท้ายที่เราต้องพายเข้าไปนั้นมีหินใต้น้ำคมๆ วางตัวเป็นกับดักอยู่ พอไม่มีแสงอาทิตย์แล้ว การผ่านเข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เรือของผู้ใหญ่บ้านพายนำเราเข้าไปในคลองพร้อมกำชับว่าอย่าแตกแถวเด็ดขาด เรือทุกลำตามกันมาแนบสนิท หัวเรือของเราจ่อท้ายเรือลำข้างหน้า หัวเรือของลำข้างหน้าก็จ่อท้ายเรือของลำถัดไป เหมือนมีเชือกผูกติดกันไว้ เรือลำสุดท้ายของกองเปิดไฟฉายเป็นสีแดงทิ้งไว้เป็นจุดหมายให้รู้ตำแหน่งกัน
ระยะทางเพียงแค่กิโลเมตรกว่าๆ แต่เรากลับใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ไม่มีใครกล้าแตกแถว เสียงบอกจุดหินคมต่อๆ กันมาคือการสื่อสารเดียวที่เกิดขึ้น ความตึงเครียดค่อยๆ ก่อตัวในความมืด เพียงแค่วันแรกธรรมชาติก็ฟาดเราหนักเสียเหลือเกิน
ในที่สุดเราก็ถึงจุดหมาย คืนนั้นพวกเรา 9 คน นอนพักกันที่ขนำในสวนยางของผู้ใหญ่บ้าน ความอ่อนล้าจากทุกอย่างบวกรวมกันทำให้เราหลับไปด้วยความรวดเร็ว
อ่านต่อหน้า 5
กับดักสันดอนเลนเมื่อวาน ทำให้เราเริ่มตรวจสอบตารางน้ำด้วยความระวัง น้ำกำลังขึ้นสูงทำให้ไม่ต้องระวังหินคมเหมือนเมื่อคืน เช้านี้พอได้เห็นด้วยตาชัดๆ แล้ว คลองบ้านไหนหนังที่ดูยาวไกลในความมืดที่จริงแล้วมันสั้นนิดเดียวเอง
วันนี้น้ำลงช่วงบ่ายเหมือนเมื่อวาน แต่ไม่มีใครในกองเรือรู้จุดที่น้ำจะแห้งจนเป็นสันดอน เราต้องไปให้ถึงที่พักก่อนที่น้ำลงสุดจะสร้างความลำบากให้เราอีกครั้ง หลังออกจากปากคลองไหนหนังมาได้ไม่นาน พวกเราพายผ่านช่องเขากาโรสซึ่งดูเหมือนจะเป็นจุดท่องเที่ยวให้พายเข้าไปได้ แต่คงต้องติดเอาไว้รอบหน้า วันนี้ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์เถลไถล
น้ำกำลังขึ้นช่วยส่งเรือไปในทิศที่ต้องการพอดี พวกเราต้องรีบทำระยะก่อนที่น้ำจะเปลี่ยนทางมาเป็นศัตรูของเรา พอใกล้เที่ยงแดดก็เริ่มกลับมาทำสงครามกับเราอีกครั้ง หน้าขาที่ยังร้อนระอุจากเมื่อวานเริ่มมีอาการแสบร้อน เราต้องเอาผ้ามาคลุมปิดให้มิดทุกส่วนของร่างกาย
โชคดีที่ในทะเลทุกจุดแถบนี้มีสัญญาณโทรศัพท์เต็มเปี่ยม เมื่อเช็คดูระยะ เส้นทาง น้ำขึ้นน้ำลง และพยากรณ์ลมกันอย่างดีแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจตัดตรงข้ามอ่าวไปยังแหลมสักกันเลย ถึงแม้จะเรียกว่าการพายตัดอ่าว แต่ตรงจุดนี้เป็นอ่าวชั้นในสุด ด้านนอกมีเกาะยาวใหญ่และยาวน้อยขวางลมให้อยู่ ทะเลด้านในนี้จึงเรียบเหมือนกับเป็นทะเลสาบ
สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
พอเข้าช่วงบ่าย คอ หลัง ไหล่ และก้น ก็เริ่มงอแง ไม่ว่าจะขยับเปลี่ยนเป็นท่าไหน ก็อยู่ได้ไม่เกิน 20 นาที ต้องหาทางเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ความท้อแท้ถาโถมมาทั้งทางกายและใจ ทะเลกว้างที่แทบไม่มีอะไรเป็นจุดสังเกต ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่
แผ่นดินด้านหน้ามีเจดีย์วัดให้พอมองเห็นอยู่ลิบๆ จากตอนแรกที่เห็นยอดเจดีย์ต่ำกว่ายอดต้นไม้ของภูเขาด้านหลัง และแล้วเจดีย์ค่อยๆ สูงขึ้นอย่างช้าๆ จนพ้นยอดไม้ ความสูงของยอดเจดีย์ที่เปลี่ยนไปคือสิ่งที่บอกว่าเรากำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้เรื่อยๆ
นอกจากยอดเจดีย์แล้ว หัวเรือที่แหวกผ่านน้ำเห็นเป็นคลื่นคือสิ่งที่มองแล้วมีกำลังใจที่สุด เพราะมันคือหลักฐานว่าเรากำลังเคลื่อนที่อยู่ คนเดินป่าบางคนเคยเล่าว่า เวลาเดินถ้ามองไกลมันจะท้อ ให้มองที่เท้าตัวเอง เดินไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เดี๋ยวมันก็จะถึง นี่คงเป็นอารมณ์คล้ายกัน
อ่านต่อหน้า 6
นักรบย่อมมีบาดแผล
การเร่งทำเวลาเพื่อหนีน้ำลง ทำให้เราถึงที่พักตั้งแต่บ่ายสาม ได้ซักตากความเค็มออกจากร่างกาย และชื่นชมกับแสงสุดท้ายของวันแบบตัวแห้งสะอาด
ระยะทางรวมตอนนี้อยู่ที่ 45 กิโลเมตรแล้ว สองวันเต็มที่เราพายเรือสู้กับแดดและน้ำ ตอนนี้นิ้วกลางมือขวามีอาการบวมขึ้นมาอย่างชัดเจน สาเหตุอาจจะมาจากการออกแรงผิดท่าในตอนที่เร่งทำเวลา หรืออาจจะมาจากเส้นผ่านศูนย์กลางของพายที่ไม่พอดีมือก็เป็นได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มื้อเย็นของวันเต็มไปด้วยความทุลักทุเลเพราะมือขวาออกแรงกำช้อนกินข้าวแทบไม่ได้ ความกังวลว่าจะต้องถอนตัวเริ่มผุดขึ้นมาเป็นระยะ เราข่มความกังวลนั้นไว้แล้วทำสิ่งที่ทำได้ ยืดเหยียดร่างกายให้ดีที่สุด ยืดเส้นแขนขาบ่าไหลอย่างละเอียด แล้วก็เข้านอน
สงครามยังไม่จบ
มือที่บาดเจ็บเมื่อวาน เช้านี้อาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังกังวลว่าถ้ากลับมาเจ็บ แล้วพังที่กลางทะเลจะทำอย่างไร หลังจากปรึกษากับเพื่อนๆ แล้ว ทุกคนสัญญาว่าจะช่วยกันลากไปให้ถ้าพายไม่ไหว แถมเมื่อดูตารางน้ำแล้วพวกเราน่าจะพายตามน้ำไปเกือบตลอดทาง เราจึงตัดสินใจไปต่อพร้อมกับทุกคน
ที่พักพวกเราอยู่บนยอดเนินมองลงมาเห็นพื้นที่อย่างชัดเจน เช้านี้น้ำแห้งเห็นพื้นเลนกว้างไปหลายร้อยเมตร โชคดีที่เมื่อวานพวกเราเข้ามาก่อนน้ำลงสุด กว่าน้ำจะขึ้นสูงพอให้เอาเรือออกได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 10 โมง
พวกเราตัดตรงพุ่งเข้าสู่หมู่เกาะเขาหินปูนที่ขวางตัวอยู่ด้านหน้า เหลี่ยมเขาค่อยๆ เลื่อนเปิดให้เห็นช่องตามมุมของเรือที่เคลื่อนที่ หน้าผาหินปูนตั้งดิ่งสูงจรดฟ้า หน้าผาหยาบกระด้างสีเทาอ่อนแทรกด้วยพืชพรรณไม้สีเขียว ลำต้นและรากพันเกาะเกี่ยวกับหินแกร่ง ปลายกิ่งมีดอกสีขาวแต้มอยู่ประปราย ไม่ว่าสถานที่จะยากลำบากแค่ไหนต้นไม้ก็ไม่เคยยอมแพ้
คลื่นซัดสาดฐานเกาะจนเว้าแหว่ง บางจุดก็เว้าเข้าไปมากจนเหมือนหลังคายื่นออกมาให้เราหลบแดด บางจุดก็โดนเซาะเข้าไปด้านในแต่เหลือฐานด้านนอกไว้ เกิดเป็นโพรงถ้ำทะลุให้ลอดผ่าน
พวกเรากระจายตัวกันสำรวจขอบผา มุมโน้นที มุมนี้ที คล้ายกับกลุ่มเด็กในสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ การพายแบบที่เห็นทิวทัศน์ที่ต่างไปทุกซอกมุม ดีกว่าการพายกลางทะเลล้วนๆ แบบเมื่อวานมากๆ
อ่านต่อหน้า 7
ความสะดวกที่ลอยมากับน้ำ
ทุกวันพวกเราจะพกอาหารกลางวันใส่กล่องข้าวที่เตรียมกันมา บางวันเราก็ลอยลำกินกันในเงาเกาะ บางวันเราก็ขึ้นหาดไปนั่งกินด้วยกัน
เมื่อเราพายเข้าไปเจอกับแพขยะที่ลอยน้ำมา มันก็ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการพกข้าวใส่ปิ่นโตและกระติกน้ำของพวกเราว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
ชีวิตเมืองทำให้เราสบายกันจนเคยตัว กล่องโฟมใส่อาหารที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งอาจจะเป็นความสะดวก ช้อนพลาสติกอาจจะเป็นความสบาย ถุงใสใส่ขนมที่โยนทิ้งได้เลยหลังกินเสร็จ เราปล่อยตัวให้เคยชินกับความสบายนี้มายาวนาน ถ้าเรายอมลำบากล้างกล่องข้าวกันทุกวันซักนิด ขยะที่ลอยมากับน้ำก็คงจะลดลง
ห้วงเวลาแห่งชัยชนะ
สงครามกำลังจะจบลง ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดที่สะสมมากลายเป็นเรื่องเล็กน้อย กองเรือทยอยเคลื่อนตัวออกจากห้องนั่งเล่นกลางทะเลสู่ที่พักคืนสุดท้ายซึ่งเป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์ริมน้ำ
มองย้อนไป เราพ่ายแพ้ต่อลม แดด และกระแสน้ำอย่างหมดรูป พวกเราต้องปรับเวลาออกเดินทางตามเวลาน้ำ เราต้องพุ่งเข้าหาร่มเงาเกาะเพื่อหลบแดด การพยายามขัดขืนธรรมชาติเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่แทบเป็นไปไม่ได้ ศัตรูที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้กลับโผล่ชัดในตัวของเราเองต่างหาก ความเหนื่อยล้า ความท้อแท้ ความกลัว ที่เกิดขึ้นในใจคือศัตรูตัวใหญ่ที่ออกมาท้าทายเราอยู่ตลอด
การเดินทางด้วยแรงแขนของตัวเองตลอดสามวัน รวมระยะทาง 65 กิโลเมตร โดยไม่เลิกล้มไปกลางทางคือชัยชนะที่ทำให้ใจพองโต การได้ลอยล่องไปในสายน้ำระหว่างหน้าผาหินปูน สายลมเสียงนกที่ลอยมาให้ได้ยิน เท้าที่ได้สัมผัสกับหาดทรายที่ไม่เคยมีคนเหยียบย่าง บทสนทนากับเหล่าเพื่อนที่พายมาด้วยกัน คือถ้วยรางวัลที่ได้มาจากการออกเดินทาง เมื่อพายเรือเข้าเทียบท่าโฮมสเตย์ริมน้ำ สงครามของเราก็ปิดฉากลงพร้อมกับความทรงจำที่งดงาม
อ่านเพิ่มเติม : ปลาพลวง ได้รับการขนานนามว่า เสื่อโคร่งแห่งสายน้ำ