จากการตรากตรำทำงานในออฟฟิศกลางเมืองหลวง ความเบื่อหน่ายจึงทำให้เราออกเดินทางอีกครั้ง แผนการสั้นๆ ในช่วงเสาร์อาทิตย์และควบวันลาพักร้อนเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้หลักลี้ไปหามุมหลบพักได้บ้าง ปลายทางของเราครั้งนี้คือเมือง ดาลัต ประเทศเวียดนาม
ที่เมืองดาลัต นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอันดับของคนไทยแล้ว ยังมีธรรมชาติให้ค้นหาอีกมากมาย เพียงแต่การเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติด้วยขนส่งสาธารณะค่อนข้างลำบาก และ สภาพสังคมที่เข้าสู่การพัฒนาประเทศ การหักร้างถางพงเพื่อเปลี่ยนพื้นที่ธรรมชาติจึงมีมากขึ้น ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
การเดินทางของเราเริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่เช้าตรู๋ บินตรงไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินเลียงเคือง สนามบินแห่งเดียวของเมืองดาลัต เมื่อเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารก็มีรถบัสเข้าเมืองจอดรออยู่นอกประตู เราเลือกนั่งรถโดยสารนี้ไปลงที่น้ำตกดาตันลา เพื่อแวะดูนก และรับประทานอาหารกลางวันรอเวลาที่จะเข้าที่พักในช่วงเย็น
ในตอนที่เราไปถึงน้ำตกดาตันลานั้น บรรยากาศก็ไม่สู้ดีเสียเท่าไร เมฆครึ้มและฝนที่โปรยลงมาเล็กน้อย แม้เรารู้สึกหวั่นๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราล้มเลิกแผนการ เราจัดแจงหยิบอุปกรณ์และสำรวจนกบริเวณโดยรอบทันที นกกินปลีหางยาวคอดำ และนกติ๊ดหัวแดง รอต้อนรับนักดูนกต่างแดนอย่างพวกเรา
เราใช้เวลาที่น้ำตกจนเวลาล่วงเข้าสู่เที่ยงวัน จึงเข้าไปยังร้านอาหารที่อยู่บริเวณทางเข้าน้ำตก เลือกนั่งโต๊ะริมระเบียงที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ไม่ห่าง เพื่อหวังมองหานกระหว่างรับประทานอาหาร ซึ่งถือว่าเราประสบความสำเร็จ นกศิวะปีกสีฟ้าบินเข้ามาหากินอยู่ที่ต้นไม้ริมระเบียงตรงที่พวกเรานั่งรับประทานอาหารเที่ยงกัน พร้อมกับนกแซงแซวสีเทา และนกพญาไฟคอเทา ตามมาด้วยนก Indochinese Barbet นกโพระดกเฉพาะถิ่นของเวียดนาม มาเกาะหลบฝนอยู่ด้วย
เมื่อมองไปด้านล่างก็มีนก White cheeked Laughingthrush ฝูงใหญ่กระโดดหากินไปมาตามพื้นและพุ่มไม้ จากโต๊ะกินข้าวมองไปไกลๆ แนวป่าสนและดงหญ้าขึ้นครื้มเป็นฉากหลัง ตรงนั้น เราเห็นนก Dalat Shrike-babbler หากินอยู่ เป็นช่วงเวลาสาละวนที่ทำเอาพวกเราไม่อยากผละออกไปจากร้านอาหารเลย เราสั่งเครื่องดื่ม และอาหารทานเล่น มาเติมโต๊ะอาหารอยู่เรื่อยๆ นี่เป็นการดูนกที่สบายที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลยทีเดียว
หลังจากนั่งกินดื่มและดูนกอยู่นานก็ได้เวลาเข้าเมืองเพื่อเช็กอินห้องพัก เราออกไปรอรถโดยสารประจำทางที่ด้านหน้าของลานจอดรถ นั่งอยู่บนรถโดยสารไม่นานเราก็เข้าเขตเมือง รถจอดในตลาดไม่ไกลจากห้องพัก หลังจากเช็กอินและจัดการสัมภาระเสร็จแล้ว เราก็ออกไปสำรวจตลาดและเมืองในตอนเย็นกันต่อ ภายในตลาดกลางเมืองดาลัตส่วนมากเป็นร้านแบกะดิน ขายของอุปโภค บริโภคต่างๆ ร้านรวงที่มีคนไทยหนาแน่นคือร้านแบ๋งห์จร้างเนือง หรือที่คนไทยเรียกว่า ‘พิซซ่าเวียดนาม’ ร้านเหล่านี้แม่ค้าจะแบกคานหาบมาจับจองทำเลตั้งร้าน และมีเก้าอี้เตี้ยๆ เตรียมไว้บริการลูกค้าที่มาใช้บริการ
อีกสิ่งหนึ่งที่สะดุดตาในตลาดนี้คือพืชทรงกลมขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า ‘อาร์ติโชค’ มีให้เห็นเกลื่อนกลาดในตลาดดาลัต พืชชนิดนี้นำเข้ามาเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจของที่นี่ สอบถามก็ได้ความว่ามีสรรพคุณมากมายทั้งลดไขมัน และป้องกันตับแข็ง นักดื่มทั้งหลายจึงควรหามารับประทาน
เช้าวันที่ 2 แผนการของพวกเราคือเดินทางไปยังภูเขาลังเบียง ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเส้นทางปีนเขา แต่หากชอบสบายก็เลือกนั่งรถจี๊ป ที่มีให้บริการตรงสถานีด้านล่าง แน่นอนว่าพวกเราต้องเลือกทางลำบากเพราะ หวังได้ดูนกระหว่างทาง เราให้รถจี๊ปมาส่งเราตรงครึ่งทางของเส้นทางเดินป่า ยังไม่ทันจัดแจงอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เจ้านกจุนจู๋ท้องเทาก็ร้องต้อนรับเราจากพุ่มไม้รกข้างทาง นกชนิดนี้หายากมากในประเทศไทย มาได้ยินที่นี่ทำเอาพวกเราหูพึ่ง แต่นกชนิดนี้ตัวเล็ก แถมยังซ่อนตัวเก่ง แม้เสียงร้องจะเหมือนอยู่ที่ปลายเท้า แต่ยากจะได้เห็นตัว พวกเรานั่งย่อหมอบนอนอยู่นาน แต่ก็ได้เห็นเพียงเงาเหลืองๆ จากสีบนกระหม่อมของนกวูบไหวไปมา
เราเริ่มออกเดินเท้ากันในช่วงแปดโมงเช้า แต่ฟ้าก็ยังสลัวสลับมืดครึ้ม ลักษณะภูมิประเทศของเส้นทางเป็นไหล่เขา โดยรอบเป็นไม้พุ่มเตี้ยแทรกกับป่าสน และตัดขึ้นสันเขาหลังจากผ่านไป 3 กิโลเมตร ซึ่งด้านบนเป็นป่าสนทั้งหมด พื้นป่าโล่งมองเห็นได้ไกล นกน่าสนใจที่พบในบริเวณนี้ได้แก่ นกอีแพรดคอขาว นกเปลือกไม้ นกจับแมลงเล็กขาวดำ นอกจากนี้ เรายังเจอนกเฉพาะถิ่นของเวียดนาม อย่างนก Vietnamese Greenfinch และนก Black headed Sibia อีกด้วย เนก Sibia หรือในไทยเรียกว่ากลุ่มนกหางรำ เราพบเห็นมันอยู่ในกรงเป็นจำนวนมากในตอนที่สำรวจตลาดเมื่อคืนก่อน น่ากลัวเหลือเกินว่าครั้งต่อไปที่เรากลับมา จะหาดูมันได้ยากขึ้น
เมื่อเดินผ่านป่าสนมาประมาณ 4 กิโลเมตร เราเริ่มเข้าสู่รอยต่อของป่าดิบเขา ที่จุดนี้ เราพบ Necklaced Barbet นกโพระดกเฉพาะถิ่นของเวียดนามอีกหนึ่งชนิดเกาะอยู่บนยอดไม้กลางหุบ แต่หลังจากเข้าสู่พื้นที่ป่าดิบแล้ว กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เสียงนกมีบ้างประปราย มีฝูงนกขนาดเล็กที่หากินร่วมกันผ่านเข้ามาเป็นครั้งคราว ซึ่งได้เจอนกเฉพาะถิ่นอย่าง White spectacle Warbler หากินปะปนในฝูงนกกระจิ๊ดด้วย
จากตรงนี้ผมเอะใจที่ว่าเห็นนกตัวหนึ่งหน้าตาคล้ายกับนกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ กระโดดหากินตามหลังฝูงมาด้วย จึงถามเพื่อนร่วมทริปที่ทำการบ้านเรื่องนกมาอย่างดีว่า ที่เวียดนามมีนกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ด้วยหรือ เพื่อนผมทำหน้าตาประดักประเดิด และบอกว่า ที่เวียดนามไม่มี แต่มีนกที่หน้าตาคล้ายกัน เป็นนกเฉพาะถิ่นแถมหายากเสียด้วย มันคือนก Yellow billed Nuthatch เขาคะยั้นคะยอถามผมเป็นการใหญ่ว่านกอยู่ตรงไหน เนื่องจากว่าป่าค่อนข้างทึบมุมที่เขายืนคงโดนไม้บัง ผมพยายามบอกตำแหน่งนกให้เขา แต่นกเจ้ากรรมก็อยู่ไม่นิ่งเสียเลย จนสุดท้ายโชคเข้าข้าง นกโผออกมาที่โล่งพอจะมองเห็นตัวแต่ก็ยังมืดเกินกว่าจะถ่ายรูปได้ อย่างไรก็ตาม พวกเราดีใจกระโดดโลดเต้นกับนกชนิดนี้ที่ไม่คาดว่าจะได้เจอ
พวกเราเดินดูนกกันต่อในบรรยากาศที่กลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง มีนกเขนสีฟ้าหางขาวบินตัดหน้าตัดหลังไปมาพอให้หายเหงา และนกเดินดงสีเทาดำที่ยืนนิ่งบนคาคบไม้ เราเดินต่ออีกสักพักแล้วจึงถอดใจกลับ ซึ่งกว่าจะลงมาถึงท่ารถจี๊ปด้านล่างก็บ่ายคล้อย เรารอรถโดยสารประจำทางอยู่นาน แต่ก็ยังไม่ใช่คันที่พาเรากลับตลาดเสียที จึงยอมขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่ ในตอนแรกนั้นเราค่อนข้างกลัวการขึ้นแท็กซี่ที่เวียดนามมาก จากข่าวข้อมูลเรื่องการโกงสารพัด แต่พอได้ลองด้วยตัวเองแล้วก็ไม่มีปัญหาโดนโกง ราคาก็เป็นไปตามมิเตอร์ไม่มีผิดปกติอะไร
แท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีพาเรากลับมายังตลาดดาลัตอีกครั้งในช่วงเวลาเกือบบ่ายสามโมงเย็น เราเก็บของที่ห้องพัก ออกมาหามื้อเย็น จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนเตรียมตัวสำหรับการดูนกในครึ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเราวางแผนว่าจะกลับไปที่น้ำตกดาตันลาอีกครั้ง และเดินทางต่อไปยังสนามบินในตอนบ่ายเพื่อกลับบ้าน
เช้านี้ เราแบกสัมภาระพะรุงพะรังตรงดิ่งไปยังน้ำตกดาตันลา เราเลือกนั่งที่ร้านอาหารร้านเดิม โต๊ะตัวเดิม แต่คราวนี้เราผลัดกันเดินออกไปดูนกสลับกับนั่งเฝ้าโต๊ะ เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดเกินไป จึงสั่งอาหารทานเล่นมาไว้บนโต๊ะด้วย
เช้านี้เราเจอนกขุนแผนหัวแดง และนกเดินดงหัวสีส้มอยู่รอบๆ ส่วนนก White cheeked laughingthrush ฝูงใหญ่ก็ยังคงหากินอยู่ที่เดิม เราผลัดกันออกไปเดินอยู่หลายรอบ แต่ในตอนที่เป็นเวรของผมที่ต้องนั่งเฝ้าโต๊ะ น้องที่เดินออกไปดูนกก่อนหน้านี้ก็วิ่งหน้าตาตื่นกลับมา แล้วพูดคำเดิมซ้ำๆว่า “ปากไขว้ ปากไขว้” อย่างเหนื่อยหอบ ‘ปากไขว้’ เป็นชื่อเล่นที่เราตั้งให้นก Vietnamese Crossbill นกเฉพาะถิ่นหายากอีกชนิดที่พบได้แค่ในเขตดาลัต ชื่อเล่นปากไขว้พ้องกับชื่อสามัญ Crossbill ก็เป็นตามลักษณะปากของมันที่ไม่ได้สบกันพอดี แต่ปลายบิดไขว้กันอย่างประหลาด หลังจากถามไถ่จุดที่น้องพบนกตัวนั้น ผมก็รีบคว้ากล้องแล้วก็วิ่งออกไปทันที ระยะทางนั้นค่อนข้างไกล ผมจึงไม่แปลกใจที่น้องวิ่งกลับมาอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อผมไปถึง สมาชิกทีมของเราอีกคนก็ยืนรอท่าอยู่เพื่อชี้เป้าหมายให้ โชคดีว่าถึงแม้จะเสียเวลาไปหลายนาทีกว่าจะมาถึง แต่นกก็ยังคงวนเวียนหากินอยู่ในบริเวณนั้น
หลังจากเฝ้าดูเจ้าปากไขว้ หรือ Vietnamese Crossbill เสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบินพอดิบพอดี ถือว่าเป็นการจบทริปที่น่าประทับใจทีเดียว ผมกลับไปที่ร้านอาหารเก็บของและขึ้นแท็กซี่ที่รอลูกค้าอยู่แถวนั้นไปยังสนามบิน เป็นอันปิดฉากการเดินทางสั้นๆ ที่ไม่คาดหวังอะไรเป็นพิเศษในฤดูฝนพรำเช่นนี้ แต่กลายเป็นว่ามีสิ่งพิเศษต้อนรับเราอย่างดีไม่ขาดสาย คงเป็นอย่างที่ใครว่าไว้ “ถ้าเราไม่คาดหวัง ทุกอย่างคือกำไร”
ผู้เขียนเดินทางวันที่ 28 กุุมภาพันธ์ 2561
เรื่องและภาพ: วัทธิกร โสภณรัตน์