ภาพยนตร์ Dune – ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพภูมิทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของทะเลทรายวาดิรัม (Wadi Rum) ในประเทศจอร์แดนและทะเลทรายนามิบ (Namib) ในทวีปแอฟริกาใต้ ถูกยกให้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องหลังงานภาพของดินแดนสมมติบนดวงดาวอาร์ราคิสจาก Dune นวนิยายไซไฟระดับตำนาน ผลงานของแฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1965 ทว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของแรงบันดาลใจซึ่งจุดประกายจินตนาการของเฮอร์เบิร์ตอย่าง ชายฝั่งออริกอน (Oregon Coast) ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกนั้นกลับอยู่ไม่ไกลจากที่พักอาศัยของเขานัก
ภูมิทัศน์ของชายฝั่งที่มีทั้งหัวแหลมผาหินชัน ป่าในม่านหมอก และฤดูฝนอันยาวนานนั้นคล้ายคลึงกับสภาพภูมิประเทศของดาวคาลาดานซึ่งเป็นดาวบ้านเกิดของตระกูลอะเทรดีส มากกว่าดาวอาร์ราคิสที่ถูกปกคลุมไปด้วยผืนทรายสุดลูกหูลูกตา แต่ในพื้นที่ไกลออกไปทางตอนกลางของชายฝั่งออริกอน ยังมีบริเวณอีกด้านที่ต่างออกไปรอให้เฮอร์เบิร์ตเดินทางไปสำรวจอยู่
อีกด้านหนึ่งของชายฝั่งมีเนินทรายที่กินอาณาเขตว่า 28 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทอดตัวยาวไปตามชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิกถึง 64 กิโลเมตร ความยาวของพื้นที่นี้เทียบได้กับระยะทางจากเมืองฟลอเรนซ์ไปถึงเมืองนอร์ทเบนด์ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา น้ำและกระแสลมที่มีความเร็วประมาณ 161 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งพัดอยู่บริเวณชายฝั่งแห่งนี้ก่อให้เกิดเนินทรายขนาดใหญ่ที่สูงถึง 152 เมตรขึ้นเรื่อย ๆ จนบริเวณนี้กลายพื้นที่เนินทรายชายฝั่งทะเลเขตอบอุ่นที่ใหญ่ที่สุดในในทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากนั้นแล้ว บริเวณนี้ยังได้รับการคุ้มครองให้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่านันทนาการเนินทรายออริกอนแห่งชาติหรือ Oregon Dunes National Recreation Area ซึ่งมีเนื้อที่รวมกว่า 127 ตารางกิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม กองเม็ดทรายที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างมหัศจรรย์เหล่านี้กำลังค่อย ๆ หายไป ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ว่า เนินทรายชายฝั่งอาจจะหายไปภายใน 50 ปี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะสามารถเยี่ยมชมเนินทรายในออริกอนอย่างมีความรับผิดชอบได้อย่างไร แล้วมีวิธีใดที่สามารถจะปกป้องรักษาเนินทรายเหล่านี้ให้คงไว้ไปจนถึงคนรุ่นหลังได้บ้าง ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันได้ในบทความนี้
ขณะที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานตามแนวชายฝั่งตอนกลางของออริกอนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างรุนแรงจากการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติของเนินทราย ที่ทำให้ทรายปกคลุมไปทั่วทั้งถนนเส้นหลัก ถนนเส้นรอง และอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ
“คนที่เข้ามาตั้งรกรากในบริเวณนั้นไม่ได้มองว่าเนินทรายเป็นสิ่งสำคัญค่ะ พวกเขามองว่ามันเป็นพื้นที่ไร้ประโยชน์ แล้วก็เป็นปัญหาค่ะ” ดีนา พาวลิส (Dina Pavlis) ผู้เชียวชาญด้านเนินทรายและผู้เขียนหนังสือเรื่อง Secrets of the Oregon Dunes กล่าว
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 กรมป่าไม้สหรัฐอเมริกาได้เริ่มนำพืชรุกราน เช่น ต้นหลิว และหญ้ามาร์รัมหรือหญ้าชายหาดพันธุ์ยุโรป ไปปลูกรอบบริเวณเนินทรายเพื่อป้องกันไม่ให้กองทรายเหล่านั้นเคลื่อนที่ หญ้ามาร์รัมสามารถทำหน้าที่ยึดเนินทรายได้เร็วอย่างคาดไม่ถึงด้วยลำต้นที่เจริญเติบโตลงไปในผืนทรายและหยั่งรากลึกจนสามารถยึดเกาะทรายเข้าด้วยกันจนมั่นคงได้สำเร็จ ต่อมา หลังปรากฏการณ์ชามฝุ่น (Dust bowl) หรือพายุฝุ่นครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในอเมริกาช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 สงบลง สำนักงานอนุรักษ์ดินซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ก็ได้เข้าไปดำเนินการตามโครงการยึดและปรับสภาพเนินทรายต่อไป
หลังแฟรงก์ เฮอร์เบิร์ตได้ยินข่าวเกี่ยวกับโครงการปรับปรุงพื้นที่เนินทรายของรัฐ เขาก็ตัดสินใจเดินทางไปสำรวจพื้นที่บริเวณนั้นหลังโครงการดำเนินการไปได้เพียงไม่กี่สิบปี ในปี 1953 เขาเดินทางไปยังเมืองฟลอเรนซ์ในรัฐออริกอนซึ่งอยู่ใกล้กับทางตอนเหนือสุดของพื้นที่เนินทรายชายฝั่งทะเล เพื่อสำรวจและเขียนบทความเกี่ยวกับโครงการของกระทรวงเกษตร อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบทความเกี่ยวกับ “การหยุดยั้งไม่ให้เนินทรายเคลื่อนตัว” ที่เฮอร์เบิร์ตเขียนจะไม่ถูกตีพิมพ์ แต่ประสบการณ์และข้อมูลที่ได้จากการสำรวจในครั้งนั้นก็ได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้เขา
“ผมสนใจในเรื่องเนินทรายมากครับ เนินทรายเป็นเหมือนกับระลอกคลื่นบนผืนน้ำอันกว้างไกล และผู้ที่เข้าใจธรรมชาติของเนินทรายที่สามารถไหลไปมาได้นั้น จะสามารถเรียนรู้เพื่อหาวิธีป้องกันรักษาให้มันอยู่ในสภาพเดิมได้” เฮอร์เบิร์ตกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์เมื่อปี 1969
สิ่งที่เขาได้จากการเขียนบทความเกี่ยวกับเนินทรายและความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาในเมืองทาโคมา รัฐวอชิงตัน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยมีมลพิษอุตสาหกรรมปล่อยออกมาจากอดีตโรงงานถลุงแร่ตะกั่วและทองแดงในสวนสาธารณะพอยท์เดอไฟแอนส์ (Point Defiance Par) ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกสร้างทับด้วยแหลมคาบสมุทรดูน (Dune Peninsula) สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านการสร้างโลกจำแลงและการกำหนดแก่นของงานเขียนชิ้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา
ทุกวันนี้ ความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับนิเวศวิทยาได้เผยให้เห็นปัญหาและข้อบกพร่องของแผนที่ใช้ยึดและปรับสภาพเนินทรายในออริกอน ซึ่งทำให้ความสูงของเนินทรายเหล่านั้นลดลงประมาณ 1.5 เมตรต่อปี นอกจากนั้น อาณาบริเวณของเนินทรายยังลดลงเรื่อย ๆ เพราะพืชต่างถิ่นรุกรานกระจายพันธุ์และเติบโตไปตามพื้นที่ได้ดีจนพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์เฉพาะถิ่นถูกคุกคาม
กลุ่มความร่วมมือในการฟื้นฟูเนินทรายในออริกอน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่นต่าง ๆ รวมไปถึงสมาพันธ์ชนพื้นเมืองในรัฐออริกอนอย่าง Confederated Tribes of Coos, Lower Umpqua and Siuslaw Indians ที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เนินทราย กำลังเป็นหัวหอกในความพยายามที่จะฟื้นฟูบริเวณนั้น นอกจากนี้ แผน 3 ขั้นตอนที่กลุ่มความร่วมมือจัดทำร่วมกันยังมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องพื้นที่ระบบนิเวศเนินทรายที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นให้คืนสู่สภาวะปกติ
อย่างไรก็ดี นักท่องเที่ยวยังสามารถเยี่ยมชมพื้นที่อื่น ๆ ที่มีเนินทรายตามธรรมชาติได้ ยกตัวอย่างเช่น เนินทรายที่อยู่ในเส้นทางจอห์น เดลเลนแบก (John Dellenback Trail) “ยังมีพื้นที่มหัศจรรย์ ๆ อีกหลายแห่งที่เมื่อไปถึงแล้วเราจะรู้สึกเหมือนว่าเดินอยู่บนดาวดวงอื่นค่ะ” พาวลิสกล่าว
โชคดีที่แฟน ๆ ภาพยนตร์ Dune ไม่จำเป็นต้องใช้ยานอวกาศในการเดินทางไปยังต้นกำเนิดของดาวอาร์ราคิส แต่สามารถเดินทางไปยัง Oregon Dunes National Recreation Area ซึ่งเปิดบริการในช่วงกลางวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเปิดให้ตั้งแคมป์, มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินป่า, มีบริการรถ ATV และ OHV ให้เช่า, มีกิจกรรม sandboarding หรือเล่นบอร์ดบนเนินทราย, มีกิจกรรมส่องสัตว์ และกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งอื่น ๆ อีกมากมายให้ผู้เยี่ยมชมเลือกทำ ต้นกำเนิดของดาวอาร์ราคิสแห่งนี้ยังมีสัตว์ที่น่าสนใจมากกว่าหนอนทราย ไม่ว่าจะเป็น หมาไม้ชายฝั่งแปซิฟิกที่พบได้ยาก, นกหัวโตสายพันธ์ุที่พบได้ตามชายฝั่งออริกอน และสัตว์อื่นๆ อีกหลายร้อยสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามเนินทราย
นอกจากนี้ แฟน ๆ ยังสามารถออกไปสำรวจพื้นที่บริเวณชายหาดเซาท์ เจ็ตตี (South Jetty) และกูสแพสเจอร์ (Goosepasture) สถานที่ 2 แห่งที่เฮอร์เบิร์ตเคยไปเยี่ยมชม หรือแวะอ่านแวะชมหนังสือวิจัยและภาพถ่ายของเฮอร์เบิร์ต รวมไปถึงของสะสมเกี่ยวกับ Dune ได้ที่ห้องสมุด Siuslaw Public Library ในเมืองฟลอเรนซ์
ถึงแม้ว่า Dune จะเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่พื้นที่ที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นกลับไม่เป็นที่สนใจเท่าที่ควร พาวลิสกล่าวว่า “แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเปลี่ยนไปเพราะการเปิดตัวของ Dune: Part Two ภาพยนตร์ภาคใหม่ของมหากาพย์ไซไฟแห่งยุคค่ะ” เธอกล่าวต่อว่า “ฉันหวังว่า จะมีผู้คนเดินทางมาทีนี่เพื่อเดินบนเนินทรายที่จุดประกายแรงบันดาลใจให้เฮอร์เบิร์ตค่ะ นอกจากนี้ การมาเยี่ยมชมเมืองนี้อาจช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นและวิธีที่จะช่วยรักษาให้เนินทรายคงอยู่ต่อไปได้ด้วย”
“และต้องมีใครสักคนนำเรื่องราวเกี่ยวกับเนินทรายในออริกอนไปเล่าต่อค่ะ” พาวลิสกล่าวส่งท้าย
แปล พรรณทิพา พรหมเกตุ