ขณะเดินท่องไปตามป่าไม้เขตหนาวเหนืออันเขียวสดงดงามในรัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ไมเคิล ฮอลเวิร์ท นักนิเวศวิทยาจากศูนย์นกอพยพสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เงี่ยหูฟังเสียงนกกระจิ๊ดคอนเนตทิคัต นกจับคอนที่มีอกสีเหลืองและวงตาสีขาวสะดุดตา เมื่อฮอลเวิร์ทและเพื่อนนักวิจัยพบตัวนกเพศผู้ที่พวกเขาติดอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ พวกเขาจัดแจงขึงตาข่ายตาละเอียดระหว่างต้นไม้สองต้นอย่างรวดเร็ว ฮอลเวิร์ทวางลำโพงไว้ด้านหลังตาข่าย แล้วต่อสายมายังโทรศัพท์ เขาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ เปิดเสียงร้องนกกระจิ๊ดเพศผู้ที่บันทึกไว้ นี่เป็นอุบายหลอกล่อนกกระจิ๊ดให้มาตรวจตราดูว่ามีคู่แข่งเข้ามาในอาณาเขตของมันหรือไม่ เจ้านกเพศผู้ที่ถูกติดอุปกรณ์ติดตามบินเข้ามาติดตาข่ายตามคาด
หลังจากปลดนกจากตาข่ายแล้ว ฮอลเวิร์ทถอดเครื่องติดตามที่อยู่บนหลังมันอย่างเบามือ อุปกรณ์ระบุพิกัดน้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกรัมนี้บันทึกระดับความสว่างของแสงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกแตกต่างกันไปตามสถานที่ นักวิทยาศาสตร์จึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อแกะรอยเส้นทางที่นกบินได้ การศึกษาของฮอลเวิร์ทและเพื่อนร่วมงานซึ่งยังคงดำเนินอยู่จนถึงขณะนี้ จะช่วยให้พวกเขาระบุบริเวณที่นกจับคอนชนิดนี้ใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวได้อย่างแม่นยำ “เรารู้ว่านกอพยพไปอเมริกาใต้ครับ แต่เรายังต้องค้นหาว่าที่ไหน” เขากล่าว
(ร่วมหาคำตอบว่าเหตุใดนกจึงสำคัญต่อโลกใบนี้นัก)
การศึกษาเหล่านี้ตอกย้ำว่า เราก้าวหน้าแค่ไหนแล้วในการแกะรอยการอพยพของนก ก่อนหน้าต้นศตวรรษที่ 19 ทฤษฎีที่ใช้อธิบายการหายไปของประชากรนกในช่วงหนึ่งของปีนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องชวนฝันหรือจินตนาการ อริสโตเติลเชื่อว่านกบางชนิดจำศีลหรือเปลี่ยนร่างไปเป็นชนิดพันธุ์อื่น ในยุโรปยุคกลาง คำอธิบายการปรากฏตัวของห่านหน้าขาวในฤดูหนาวคือ พวกมันเติบโตอยู่บนต้นไม้ นักบวชชาวอังกฤษคิดทฤษฎีขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ว่าเหล่าวิหคบินไปดวงจันทร์ หลักฐานชิ้นเยี่ยมที่สุดที่ชี้ว่านกอพยพย้ายถิ่นปรากฏใน ค.ศ. 1822 เมื่อพรานในเยอรมนียิงนกกระสาขาวที่มีวัตถุแปลกประหลาดติดอยู่ นั่นคือลูกธนูที่แทงทะลุลำคอ ลูกธนูนั้นมาจากทางตอนกลางของแอฟริกา นักธรรมชาติวิทยาจึงสรุปว่า นกกระสาตัวนั้นเดินทางมาเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ต่อมาในปี 1906 นักดูนกเริ่มใส่ห่วงขาให้แก่นกกระสาขาว และเริ่มรู้ว่าพวกมันใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาวอยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราในแอฟริกา
(ไดโนเสาร์ไม่ได้คล้ายกิ้งก่าแบบที่คิด ตรงกันข้ามพวกมันคล้ายนกมากกว่า)
ในช่วงเวลาสองศตวรรษ นับตั้งแต่นกกระสาที่มีลูกศรปักคออยู่ถูกยิงตกลงมานั้น นักวิทยาศาสตร์และนักดูนกพบการอพยพของนกนับพันชนิด เกือบครึ่งหนึ่งของชนิดพันธุ์นกที่รู้จักกันอพยพจากถิ่นอาศัยหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล นกอัลบาทรอสเกาะไลซานทำรังตามเกาะเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิก และใช้เวลาเกือบครึ่งปีเหินลมหาอาหารเป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตรไกลถึงชายฝั่งประเทศญี่ปุ่นและแคลิฟอร์เนีย ประชากรห่านหัวลายที่จับคู่ผสมพันธุ์บริเวณที่ราบสูงในเอเชียกลาง บินไปพลางส่งเสียงร้องไปพลาง ลงไปทางทิศใต้ ข้ามเทือกเขาหิมาลัย เพื่อใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาวในทะเลสาบและตามปากแม่น้ำของอนุทวีปอินเดีย การมีระยะระหว่างปลายปีกสองข้างกว้างใหญ่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ดังที่พิสูจน์แล้วจากการบินอพยพของนกฮัมมิงเบิร์ดคอทับทิม นกชนิดนี้บินเดี่ยวจากแหล่งจับคู่ผสมพันธุ์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาไปยังแหล่งที่ใช้ชีวิตช่วงฤดูหนาวตั้งแต่ทางตอนใต้ของเม็กซิโกไปจนถึงปานามา
ไม่ว่าจะเดินทางเป็นระยะไม่กี่กิโลเมตรหรือไปไกลค่อนโลก นกอพยพย้ายถิ่นก็เพื่อหลบหนีสภาวะที่คุกคามการอยู่รอด ในอเมริกาเหนือ เมื่อฤดูหนาวมาถึง ดอกไม้ที่นกฮัมมิงเบิร์ดคอทับทิมอาศัยกินน้ำต้อยกับแมลงที่มันกินย่อมหายไปหมดสิ้น นกไม่มีทางเลือก นอกจากเดินทางไปยังบริเวณที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อสภาพอากาศอบอุ่นหวนคืนสู่แคนาดาและสหรัฐอเมริกา บ้านทางตอนเหนือก็กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง เพราะแหล่งอาหารกลับมาสมบูรณ์อีกแล้ว
แม้ว่านกหลายชนิดอพยพระหว่างละติจูดที่เย็นกว่ากับอบอุ่นกว่า การอพยพบางประเภทก็มีสภาพน้ำหลากเป็นแรงกระตุ้น ดังเช่นกรณีของนกกรีดน้ำสีดำชนิดย่อยซึ่งทำรังบนสันดอนทรายที่เปิดโล่งในแม่น้ำมานูของลุ่มน้ำแอมะซอน พวกมันอ้าปากกรีดจะงอยยาวไปตามผิวน้ำขณะบินเพื่อจับปลา เมื่อฝนหนักเริ่มซัดกระหน่ำภูมิภาคดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน ส่งผลให้แม่น้ำไหลหลาก นกกรีดน้ำก็ออกเดินทางไปยังชายฝั่งด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของทวีป หรือไม่ก็อพยพขึ้นไปยังพื้นที่สูงกว่า แล้วกลับมาเมื่อระดับน้ำลดลง ประชากรนกบางกลุ่มอพยพขึ้นลงระหว่างระดับความสูงในพื้นที่เดียวกัน คือทำรังบนเทือกเขาเมื่อลำธารมีน้ำไหล แต่ลงมายังหุบเขาเมื่อน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง
“นกอพยพทั้งหนีและกลับมายังพื้นที่เหล่านี้ซึ่งแร้นแค้นสาหัสในช่วงหนึ่งของปี และอุดมสมบูรณ์มากเหมาะสำหรับการจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงลูกในช่วงอื่นของปีครับ” เบน วิงเกอร์ นักปักษีวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในแอนอาร์เบอร์ กล่าว
เส้นทางอพยพเหล่านี้เกิดจากการปรับตัวยาวนานนับพันปี นกบางชนิดที่มีแรงขับจากการแก่งแย่งทรัพยากรและพื้นที่ทำรัง มีแนวโน้มจะรอนแรมไปไกลจากถิ่นอาศัยดั้งเดิมออกไปเรื่อยๆ นักวิจัยบางคนสันนิษฐานว่า การอพยพเกิดขึ้นเมื่อนกในเขตร้อนขยายถิ่นกระจายพันธุ์เข้าไปในถิ่นอาศัยเขตอบอุ่น อีกทรรศนะหนึ่งกล่าวว่า นกหลายชนิดถือกำเนิดขึ้นในเขตอบอุ่น แล้ววิวัฒน์ไปใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่หนาวเย็นกว่าของปีนั้นที่เขตร้อน “ความจริงอาจเป็นว่าการอพยพทั้งสองแบบต่างเกิดขึ้นครับ” วิงเกอร์กล่าว
พฤติกรรมการอพยพเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในยีนซึ่งนำทางนกเหมือนหุ่นยนต์ไปยังจุดหมายปลายทางอย่างนั้นใช่ไหม หรือนกวัยอ่อนเรียนรู้จากตัวเต็มวัยว่า จะอพยพไปที่ไหนและอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบคำตอบ แต่ก็เป็นดังเช่นคำถามส่วนใหญ่ว่าด้วยธรรมชาติกับการเลี้ยงดู คำตอบมีแนวโน้มว่าจะเป็นการผสมผสานของทั้งสองปัจจัย “การศึกษาในเรื่องนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นครับ” เจสซี คอนกลิน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโกรนิงเงินในเนเธอร์แลนด์ กล่าว
โดย ชยุธิจิต ภัตตาจาร์จิ
ภาพถ่าย สตีเฟน วิลก์ส
อ่านเพิ่มเติม