เจฟ เคอร์บี นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก : กับภารกิจศึกษาสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบสุดขั้ว

“เจฟ เคอร์บี นักนิเวศวิทยาที่ผันตัวเป็นช่างภาพ

ได้เดินทางไปพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายหลายแห่งบนโลก

เพื่อสำรวจและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ” 

เจฟ เคอร์บี ไม่ได้คิดจะตามหาดอกอาร์กติกป็อปปี้ (Arctic poppy) เพื่อถ่ายภาพมัน ในตอนที่เขาและเพื่อนร่วมทีมอย่าง ไบรอัน บูมา ซึ่งเป็นนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก (National Geographic Explorer)  พร้อมด้วยทีมนักวิจัยอีกหลายคนเดินเท้าไปยังเกาะอันห่างไกลซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือสุดของโลก

“ตอนนั้นผมหวังอย่างยิ่งว่าเราจะเจอพืชอย่างดอกป็อปปี้ครับ เพราะมันพิเศษและน่าสนใจกว่าต้นแซกซิฟริจสีม่วง (purple saxifrage)”  แม้จะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง ดอกสีม่วงของแซกซิฟริจที่บานสะพรั่งก็ยังซ่อนอยู่ตามเชิงเขาใกล้กับชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะคาเฟอคลูเปิน (Kaffeklubben Island) เกาะขนาดเล็กนอกชายฝั่งทางเหนือสุดของประเทศกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่ตั้งอยู่เหนือสุดของโลก

เคอร์บีและทีมเดินฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บหลายสิบกิโลเมตรพร้อมขนทั้งอุปกรณ์ เสบียง และแม้กระทั่งเรือยางไปยังแนวชายฝั่งตอนเหนือของกรีนแลนด์เพื่อตั้งค่ายพักแรม “สัมภาระเยอะทีเดียวครับ” เขาเล่าย้อนไป ช่วงนั้นเป็นเดือนกรกฎาคม เคอร์บีสามารถถ่ายภาพดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนจุดเหนือสุดของโลกเอาไว้ได้ขณะออกไปสำรวจพื้นที่ เดิมทีเขาและทีมวางแผนจะเดินทางกลับในวันถัดไปพร้อมขนอุปกรณ์ทั้งหมดไปด้วย ทว่ากลับเจอกับพายุหิมะเสียก่อน พวกเขาจึงเริ่มขนอุปกรณ์เหล่านั้นกลับไปยังจุดนัดพบแทน

พวกเขาติดอยู่ในเต็นท์นานถึงเก้าวันและต้องเผชิญกับหิมะที่หนาเกือบครึ่งเมตร รวมไปถึงลมที่พัดแรงถึง 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถกลับไปยังเกาะคาเฟอคลูเปินได้ในระหว่างการเดินทางครั้งนั้น เคอร์บีหวังว่าอย่างน้อยภาพดอกไม้บนแผ่นดินเหนือสุดที่เขาถ่ายเอาไว้จะออกมาดี

การเดินทางสำรวจแนวชายฝั่งตอนเหนือของกรีนแลนด์นั้นมีจุดประสงค์มากกว่าการถ่ายภาพพืชพันธุ์และสัตว์เฉพาะถิ่นในเขตทุนดราบนพื้นที่ราบสูง  ทีมนักวิจัยได้บันทึกร่องรอยอื่น ๆ ของสิ่งมีชีวิตบนละติจูดนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแผนที่ดิจิทัลของภูมิภาคที่แทบจะไม่มีใครมาเยี่ยมเยือน กอมอสส์สายพันธุ์ Tortula mucronifolia ซึ่งขึ้นเลยดอกป็อปปี้อันเดียวดายไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรได้ชื่อว่าเป็น พืชที่ขึ้นบนจุดเหนือสุดของโลก ส่วนเพียงพอนหางสั้นตัวเล็กจิ๋วหรือสโตธ (stoat) ที่โผล่ขึ้นมาจากรังในกองหินตามชายฝั่งและปีนข้ามตัวทีมสำรวจไปนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินซึ่งตั้งอยู่เหนือสุดของโลก โครงการนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการเดินทางอันแสนทรหดเพื่อค้นหาต้นไม้ที่อยู่ทางใต้สุดของโลกเมื่อปี 2017 ของไบรอัน บูมา

การระบุสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่สุดขอบแผ่นดินช่วยให้มนุษย์มีจุดอ้างอิงในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลก “ทุกสายพันธุ์มีจุดเหนือสุดที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่เราไม่รู้แน่ชัดว่าจุดนั้นคือที่ไหน สิ่งที่เรารู้คือจุดเหล่านั้นอาจกำลังเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศครับ” เคอร์บีกล่าว

แผนที่เกาะคาเฟอคลูเปิน มาร์ติน กามาช จากสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แหล่งที่มา: เจฟฟ์ เคอร์บี, Scott Polar Research Institute; ไบรอัน บูมา, Environmental Defense Fund; ภาพถ่ายจากดาวเทียม SkySat ของวันที่ 13 กรกฎาคม 2023, Planet Labs PBC; ArcticDEM.

เมื่อน้ำแข็งบริเวณชายฝั่งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลาย พื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยเศษหินจะปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ จนทำให้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับขอบเขตแผ่นดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลสำหรับโครงการ ทีมวิจัยพบว่า เมื่อปีที่แล้วเกาะคาเฟอคลูเปินได้รับการยืนยันว่าเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของโลก “เมื่อได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมผู้จัดทำแผนที่จากสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก เราก็พบว่า เราต้องอัปเดตพื้นที่ส่วนหนึ่งของชายฝั่งทางตอนเหนือ โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่รวบรวมเอาไว้มาอ้างอิงครับ” คอร์บีกล่าวและเสริมว่า การอัปเดตแผนที่ทำให้ต้องแก้ไขภาพชายฝั่งส่วนนี้ในหนังสือ National Geographic Atlas อย่างเป็นทางการ

หนังสือ National Geographic Atlas of the World ฉบับพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2019 ได้กล่าวถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะคาเฟอคลูเปิน ทว่าพื้นที่ดังกล่าวกลับถูกกัดเซาะจากการเคลื่อนตัวของน้ำแข็ง ด้วยเหตุนี้ ทั้งเกาะและข้อมูลเกี่ยวกับมันจึงถูกลบออกจากแผนที่ดิจิทัลของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะปรากฏในหนังสือ Atlas ฉบับหน้า

เคอร์บีเป็นทั้งนักนิเวศวิทยา นักภูมิศาสตร์ และช่างภาพ งานส่วนใหญ่ของเขามุ่งเน้นไปที่การพยายามทำความเข้าใจรูปแบบของธรรมชาติและเผยแพร่สิ่งที่ค้นพบออกสู่สาธารณชน เขามีความสนใจในฟีโนโลยี (Phenology) หรือชีพลักษณ์ซึ่งเป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลของวัฏจักรชีวิตพืชและสัตว์ โดยเฉพาะเมื่อวัฏจักรเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมสุดขั้ว

เจฟ เคอร์บี นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ถ่ายภาพพืชที่เรียกกันทั่วไปว่า Sorensen’s catchfly ซึ่งโผล่ขึ้นเหนือหิมะที่เพิ่งตกในพื้นที่ตอนเหนือสุดของกรีนแลนด์ ภาพถ่ายโดย ไบรอัน บูมา

เขาใช้เวลาห้าฤดูร้อนในการติดตามการมาถึงและการตกลูกของฝูงกวางคาริบู (Caribou herd) ในกรีนแลนด์ตะวันตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระยะยาวที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เคอร์บีจะทำหน้าที่ช่วยสวมปลอกคอจีพีเอสให้กับประชากรกวางกาเซลล์ (Gazelle) ในประเทศมองโกเลียและติดตามการหาอาหารของพวกมัน โดยนำข้อมูลการเคลื่อนไหวของกวางมาซ้อนทับกับภาพถ่ายจากดาวเทียม การวิจัยสหวิทยาการของเขาใช้ข้อมูลจากภาพถ่าย ภาพจากดาวเทียม และการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี ที่รวบรวมขึ้นจากการใช้เวลาเก็บข้อมูลในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อบันทึกและศึกษาวัฏจักรของโลก

ขั้วโลกส่งสัญญาณเรียกให้เขาเดินทางกลับไปอยู่เสมอ เพราะพื้นที่สุดขอบโลกทั้งสองแห่งนี้เป็นสถานที่ที่อุณหภูมิสูงขึ้นเร็วที่สุดในโลก บริเวณละติจูดเหนือสุดของโลกหรือขั้วโลกเหนือนั้นอุ่นขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ มากถึงสี่เท่า จึงทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ

ดอกอาร์กติกป็อปปี้ซึ่งเป็นไม้ดอกที่อยู่ทางเหนือสุดนั้นสามารถเติบโตได้ดีบนชายฝั่งทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ ดอกป็อปปี้แสนเดียวดายดอกนี้ได้ชื่อว่าขึ้นอยู่บนจุดเหนือสุดของโลก โดยอยู่ห่างจากต้นพืชที่ขึ้นเหนือที่สุดไปทางใต้ประมาณ 20 นิ้ว ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

“พุ่มไม้โตขึ้นเรื่อย ๆ ผืนดินที่เคยว่างเปล่าก็เริ่มมีพืชพรรณปกคลุม ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ปรากฏให้เห็นทั่วพื้นที่ในเขตทุนดร้าทำให้สมดุลของพลังงานในภูมิภาคทางตอนเหนือของโลกเปลี่ยนไป และยังส่งผลกระทบต่อวัฏจักรคาร์บอนด้วยครับ” เคอร์บีเน้นย้ำ

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เขาก็คุ้นชินกับสถานที่หลายแห่งบนโลกที่มีสภาพแวดล้อมเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนที่อาศัยอยู่ตามสถานที่เหล่านั้น และวิธีที่สิ่งมีชีวิตใช้เพื่อเอาชีวิตรอดและเจริญเติบโตท่ามกลางสภาวะเช่นนั้น “ไม่ว่าจะอยู่บนที่ราบสูงในเอธิโอเปียหรืออาร์กติก คุณก็จะได้พบเรื่องราวอันน่าทึ่งเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดและการเผชิญความท้าทายของสิ่งมีชีวิตครับ”

พืชที่เรียกกันทั่วไปว่า Sorensen’s catchfly โผล่พ้นหิมะที่เพิ่งโปรยปราย ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

รูปแบบของธรรมชาติ

เคอร์บีกล่าวถึงคำพูดหนึ่งของนักพฤกษศาสตร์ชื่อดังชาวสวีเดนอย่าง โอโลฟ เฮดเบิร์ก ในเอธิโอเปียมีสุภาษิตกล่าวว่า “หน้าร้อนเยือนทุกวัน หน้าหนาวเยือนทุกคืน” เขารู้ซึ้งถึงสุภาษิตนี้เป็นครั้งแรกขณะอยู่บนที่ราบสูงของประเทศหนึ่งในแอฟริกาตะวันออก ที่ซึ่งเขาได้พบกับหนึ่งในลิงสายพันธุ์แข็งแรงที่สุดในโลก ซึ่งต่อมากลายเป็นทั้งเพื่อนบ้าน แบบถ่ายภาพ และครูที่สอนให้รู้จักจังหวะตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต

การได้ไปทำงานกับลิงบาบูนเกลาดา (Gelada) นั้นเป็นเรื่องที่เคอร์บีคาดไม่ถึง เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิชารัสเซียศึกษา แต่ช่วงที่ย้ายไปเรียนหลักสูตรเตรียมแพทย์ควบกับชีววิทยา เขาสะสมหน่วยกิตวิชาด้านวิทยาศาสตร์ไว้จำนวนมาก ช่วงนั้นเขาจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับนิเวศวิทยาเชิงพฤติกรรม (Behavioral ecology) ในเวลาต่อมา เขาก็เริ่มทำโครงการวิจัยภาคสนามภายใต้การดูแลของ ดร.ปีเตอร์ แฟชิง และ ดร.งา เหงียน ผู้เป็นนักมานุษยวิทยาและผู้ริเริ่มโครงการวิจัยและอนุรักษ์ลิงบาบูนเกลาดาในเอธิโอเปีย

ไม่กี่วันหลังจบการศึกษา เขาบินไปยังบ้านแห่งใหม่ที่จะต้องอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งปี บ้านของเขาเป็นเต็นท์หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนระดับความสูง 3,353 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บนสันเขาขอบหุบเขาเกรตริฟต์แวลลีย์ (Great Rift Valley) เมื่อมองลงไปจากที่พัก เขาก็ได้เห็นหุบเขาที่ลดหลั่นเป็นชั้นลงสู่ระดับน้ำทะเล

เมื่อมองย้อนกลับไป เคอร์บีตระหนักได้ว่าเขาสมัครเข้าร่วมโครงการในตำแหน่งนั้นเพราะรู้สึกผิดหวังจากความล้มเหลว หลังพลาดโอกาสในการทำงานกับแมวน้ำที่ประเทศไซบีเรีย และคิดว่าทักษะภาษารัสเซียของตนยังไม่ดีพอที่จะใช้ในการทำงาน เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็มีโอกาสได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้นของอาร์กติก (Arctic greening) ในไซบีเรียและสามารถต่อบทสนทนากับนักวิชาการอาคันตุกะซึ่งพูดภาษาสลาฟได้ ที่สถาบันวิจัยขั้วโลกเหนือสก๊อต (Scott Polar Research Institute) ในเคมบริดจ์ สถานที่ที่เขาประจำการอยู่ ณ ปัจจุบัน

ผิวสีพีชรอบดวงตาของลิงเกลาดาจะปรากฏขึ้นเมื่อมันยกคิ้ว ซึ่งเป็นท่าทางที่ใช้ในการข่มขู่หรือแสดงออกว่ากลัว ทว่าในภาพนี้ ผิวรอบดวงตาของมันกลับปรากฏขึ้นในขณะที่กรูมมิงให้กันและพักผ่อนหย่อนใจ ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

ในระหว่างที่อยู่ในเอธิโอเปีย เคอร์บีได้เรียนรู้ภาษาอัมฮารา (Amharic) ด้วยเช่นกัน ในช่วงนั้น เขาสังเกตได้ว่าลิงเกลาดาซึ่งเป็นสัตว์ในตระกูลไพรเมตชนิดเดียวที่กินพืชเป็นอาหาร จะหันไปกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหารทดแทนเมื่อพืชที่พวกมันกินขาดแคลน สัตว์ไพรเมตที่อาศัยอยู่ตามหน้าผาอย่างลิงอกสีเลือดซึ่งถูกเรียกตามปื้นสีแดงสดบริเวณหน้าอกอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เคอร์บีตั้งคำถามกับความเชื่อของเขา ที่มองว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่ “คาดเดาไม่ได้และวุ่นวาย” เขาเริ่มสนใจในรูปแบบและจังหวะของธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการหาอาหารของสัตว์ “การหาอาหารเป็นรูปแบบพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนครับ รูปแบบเหล่านั้นอาจช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติและสัตว์ได้มากกว่าที่คิด”

เคอร์บีมีส่วนช่วยในการวิจัยความสามารถในการปรับตัวด้านอาหารของลิงเกลาดา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มต้นอาชีพด้วยการศึกษาวิจัยระบบนิเวศแบบแอฟโฟรอัลไพน์ (Afroalpine ecosystem) ของพื้นที่อนุรักษ์ชุมชนกวซซา (Guassa Community Conservation Area) ภายใต้การนำของ ดร.ปีเตอร์ แฟชิง เคอร์บี ทีมนักวิจัย รวมไปถึงเพื่อนนักสำรวจของเขาอย่าง วิเว็ก เวนคาทารามัน ต่างก็พบว่าพฤติกรรมการกินของลิงเกลาดาที่เปลี่ยนแปลงไปอาจนำไปสู่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิวัฒนาการด้านอาหารของบรรพบุรุษมนุษย์ ซึ่งในอดีตอาจเคยดำรงชีวิตด้วยการกินพืชเช่นเดียวกับลิงชนิดนี้

การใช้ชีวิตบนที่ราบสูงของเอธิโอเปียสร้างความยากลำบากให้กับฝูงลิงเกลาดา พวกมันใช้เวลาทั้งวันไปกับการหาอาหารตามหญ้าและไม้พุ่มที่ขึ้นอยู่ตามเขา ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งที่อยู่อาศัยของลิงชนิดนี้ยังมีต้นไม้ปกคลุมไม่มากพอที่จะให้มันหลบซ่อนจากนักล่าหรือป้องกันมันจากอากาศอันหนาวเหน็บและฝนที่ตกลงมา แม้ว่าความพยายามในการอนุรักษ์ชุมชนกวซซาจะส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของลิงเกลาดา แต่อนาคตของสัตว์ชนิดนี้กลับยังคลุมเครือเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยคุกคามอื่น ๆ

ขณะครุ่นคิดถึงดอกอาร์กติกป็อปปี้แสนบอบบางที่พยายามเติบโตแทรกหินริมชายหาดขึ้นไปหาแสงอาทิตย์ เคอร์บีก็นึกสงสัยขึ้นว่า สิ่งมีชีวิตจะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนเช่นนี้ได้อย่างไร “เราได้เรียนรู้อะไรจากพืชที่เติบโตอยู่สุดขอบของแผ่นดิน และเราทุกคนจะร่วมทำความเข้าใจกระบวนการทางธรรมชาติที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ สามารถเจริญเติบโตและปรับตัวได้ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีสภาพแวดล้อมสุดขั้วได้อย่างไร”

ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าเรื่องราวของโลกอันน่าหลงใหลของสิ่งมีชีวิตที่เคอร์บีพบบนเขาสูงในเอธิโอเปีย ในช่วงหนึ่งปีที่เคอร์บีอาศัยอยู่ที่นั่น เขาถ่ายภาพลิงเกลาดาเอาไว้หนึ่งชุด ทว่าภาพถ่ายเหล่านั้นกลับออกมาไม่ค่อยดีนัก เมื่อมีโอกาสได้กลับไปยังชุมชนกวซซาอีกครั้งด้วยทุนสนับสนุนจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก โซไซตี เขาจึงตั้งใจถ่ายภาพให้ดีกว่าเดิม ในครั้งนี้ฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นจนสามารถบอกเล่าเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวเขากับลิงเกลาดาผ่านภาพถ่ายได้ดีพอจะนำไปตีพิมพ์กับทางนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก เรื่องราวนี้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารฉบับพิเศษที่ชื่อว่า “100 greatest photographs of the last century”

เพราะเขาสังเกตพฤติกรรมของลิงบาบูนเกลาดาอย่างใกล้ชิด เขาจึงจับพฤติกรรมที่แปลกไปของพวกมันได้

ตอนที่ลิงเกลาดาจะตกลูก มันมักจะปลีกตัวออกจากฝูงเพื่อหลีกหนีพฤติกรรมก้าวร้าวจากลิงตัวอื่นๆ และอยู่อย่างเงียบเชียบเพื่อหลบเลี่ยงบรรดานักล่า ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

“ผมเดินขึ้นไปบนเนินเขาแล้วเห็นมันยืนอยู่ตรงนั้น ลิงตัวนั้นยืนอยู่เงียบ ๆ ทั้งที่ปกติพวกมันมักจะส่งเสียงจอแจ” เคอร์บีเล่าย้อนไปตอนที่ถ่ายภาพสำคัญซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของเขา “พอมันเริ่มขดและงอตัวขึ้น ผมก็แบบ ‘โอ้ โอ้ ผมคิดว่าผมรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่’ ถ้าไม่มีความรู้ด้านชีววิทยา ผมคงจะถ่ายภาพนั้นเอาไว้ไม่ได้ครับ” เขายอมรับ “ผมดีใจที่ไม่ได้พลาดเรื่องการปรับโฟกัสหรือทำอะไรโง่ ๆ อย่างที่นักชีววิทยาที่ผันตัวมาเป็นช่างภาพอาจจะทำครับ”

การมีทักษะทางศิลป์ควบคู่ไปกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทำให้เคอร์บีมีข้อได้เปรียบในการถ่ายภาพ “ในทริปกรีนแลนด์ครั้งล่าสุด ผมมั่นใจว่าไบรอันคงจะหาช่างภาพที่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคหรือนักนิเวศวิทยาพืชที่มีความรู้ด้านอนุกรมวิธานมากกว่าผมได้ แต่ถ้าหากจะหาใครสักคนที่มีทักษะสองอย่างนี้ ผมคือคำตอบที่ใช่ที่สุดครับ” เขากล่าวติดตลก “ผมจะงัดทุกทักษะที่มีมาใช้และช่วยทีมประหยัดน้ำหนักตอนขึ้นเครื่องครับ”

ค่ายของทีมสำรวจตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ ส่วนเกาะเล็กๆ ที่อยู่ไกลจรดเส้นขอบฟ้าคือ เกาะคาเฟอคลูเปินซึ่งเป็นแผ่นดินที่ตั้งอยู่เหนือสุดของโลก ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

ความรู้ในศาสตร์และศิลป์ที่มีทำให้ภาพถ่ายของเขามีธีมเฉพาะตัว นั่นคือการผสมผสานธรรมชาติวิทยา นิเวศวิทยา และการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเพื่อหาความสอดคล้องระหว่างสัตว์กับธรรมชาติ แล้วจึงนำเสนอความสัมพันธ์นั้นผ่านภาพที่มีองค์ประกอบน่าสนใจ “นี่เป็นความท้าทายที่ยาก แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้ผมครับ”

ความพยายามร่วมกัน

ในช่วงการล็อกดาวน์เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 เคอร์บีได้ร่วมงานกับทีมนักสำรวจในโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก โซไซตี เพื่อสร้างการเดินทางเสมือนจริงด้วยเทคโนโลยีอิมเมอร์ซีฟ (Immersive) บนเกาะเฮอร์เชล (Herschel Island) ซึ่งเป็นอุทยานในเขตยูคอน (Yukon Territorial Park) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดาตอนเหนือ

“เราได้รับข้อมูลจากโดรนทั้งหมดที่มีเพราะเราไม่สามารถเดินทางไปยังสถานที่จริงได้ครับ คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เข้าไปสำรวจสภาพแวดล้อมจริงบนเกาะ” ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย แม้จะไม่มีโรคระบาด “โดยไม่ต้องไปที่นั่นจริงๆ น่ะหรือ”

ทีมของโครงการนี้ร่วมมือกับริชาร์ด กอร์ดอน ผู้นำของชาวอินูวีอาลูต (Inuvialuit) ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเนื้อหา และอิสลา ไมเยอร์ส-สมิธ ผู้ประสานงานด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นนักนิเวศวิทยาและนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก พวกเขาขอความช่วยเหลือจากนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและอาหารหลายคนจากมหาวิทยาลัยออร์ฮูสในเดนมาร์ก ในการหาวิธีกระตุ้นประสาทสัมผัสต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่น่าจดจำ นอกจากนี้พวกเขายังร่วมมือกับผู้ผลิตน้ำหอมในบราซิล เพื่อปรุงน้ำหอมกลิ่นชั้นดินเยือกแข็งขึ้น “น้ำหอมที่ทำขึ้นมามีกลิ่นชื้น ๆ แต่ก็ถือว่าหอมดีครับ” เคอร์บีเล่า ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็เลือกใช้สารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งเรียกว่า จีโอสมิน (Geosmin) แทน สารชนิดนี้เป็นสารที่ทำให้พื้นดินมีกลิ่นหอมสดชื่นของป่าหลังฝนตก ซึ่งใกล้เคียงกับกลิ่นของชั้นดินเยือกแข็งที่ละลายในบางพื้นที่

สโตธช่างสงสัยตัวหนึ่งเดินเข้าไปใกล้อาคา ซีมอนเซน ซึ่งเป็นนักโบราณคดีชาวกรีนแลนด์ ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

ก่อนที่จะมีโดรนใช้ เคอร์บีได้คิดค้นวิธีบันทึกภาพมุมสูงขึ้นโดยการนำกล้องไปติดเข้ากับว่าว วิธีนี้เป็นเคล็ดลับที่เขาเรียนรู้มาจากนักโบราณคดีที่ใช้ว่าวในการสำรวจพื้นที่ในเปรู การนำกล้องไปติดไว้กับเครื่องบินจำลองก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้ได้เช่นกัน ทั้งสองตัวอย่างนี้เป็นวิธีที่เคอร์บีใช้ในการบันทึกสภาพพืชพรรณที่อยู่ตามพื้นที่ตกลูกของกวางคาริบูในกรีนแลนด์ระหว่างที่เขาทำวิจัยในระดับปริญญาเอก และใช้ในการสำรวจสถานที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งในภูมิภาคอาร์กติก

กระแสความนิยมของโดรนราคาถูกทำให้การถ่ายโครงสร้างต่าง ๆ จากบนฟ้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น นอกจากนั้นการเข้ามาของโครนยังช่วยเชื่อมโยงข้อมูลที่ปรากฏบนภาพถ่ายทางอากาศเข้ากับข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายจากอวกาศ ภาพถ่ายทางอากาศของสิ่งต่าง ๆ โดยเคอร์บีและช่างภาพภาพคนอื่น ๆ ถูกนำไปรวบรวมเป็นหนังสือชื่อ “The World from Above” และตีพิมพ์ออกมาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2024 ที่ผ่านมา

“ภาพจากโดรนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณทำความเข้าใจแผนที่ได้อย่างชัดเจน” เขากล่าวขึ้น และเสริมว่า “ภาพที่ออกมาจะคล้ายกับภาพจากถ่ายดาวเทียม แต่สามารถซูมดูรายละเอียดเล็ก ๆ จนเห็นดอกไม้สักดอกได้ครับ” เคอร์บีตื่นเต้นกับการนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้เก็บภาพและข้อมูลมากจนคนรอบข้างของเขาพลอยตื่นเต้นไปด้วย

นี่คือดอกไม้ที่อยู่เหนือสุดของโลก ดอกอาร์กติกป็อปปี้แสนเดียวดายที่กลีบดูขรุขระต้นนี้ขึ้นอยู่ใกล้แนวชายฝั่งของเกาะคาเฟอคลูเปิน ภาพถ่ายโดย เจฟ เคอร์บี

รูปแบบพฤติกรรมหนึ่งของมนุษย์ที่สังเกตได้คืออะไร คำตอบคือ ความพยายามร่วมกันที่จะเริ่มต้นทำบางสิ่งบางอย่างให้เกิดขึ้น

“โครงการต่าง ๆ มากมายที่ผมกำลังทำอยู่ล้วนเป็นงานที่เกิดขึ้นจากความพยายามร่วมกันของผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน มีภูมิหลังต่างกัน มีมุมมองต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ การจัดการแก้ไขปัญหาและฟันฝ่าความท้าทายเพื่อบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ครับ”

ในโครงการต่อ ๆ ไป เคอร์บีจะทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นักนิเวศวิทยา นักเล่าเรื่อง คนในท้องถิ่น รัฐบาลท้องถิ่นของกรีนแลนด์ และกลุ่มบุคคลหรือองค์กรอื่น ๆ ที่มีความสนใจตรงกับเขา

“ผมรู้สึกขอบคุณมากที่ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ต่างก็ทำงานร่วมกันเป็นทีม นอกจากนั้น ผมยังดีใจที่ในตอนนี้การถ่ายภาพและการเล่าเรื่องก็เริ่มเกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลาย ๆ ฝ่ายเช่นกัน  ผมคิดว่าเราทุกคนต่างก็ได้ประโยชน์จากการร่วมมือในรูปแบบนี้ครับ”

เรื่อง นาตาลี ฮัตชิสัน 

แปล พรรณทิพา พรหมเกตุ


อ่านเพิ่มเติม : โครงการสำรวจ แอมะซอน

จากต้นน้ำถึงมหาสมุทร เปลี่ยนความเข้าใจเดิมสู่ความรู้ใหม่

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.