ฤาตำนาน น้ำท่วมโลก จะมาจากน้ำท่วมใหญ่ในยุคน้ำแข็ง

ภาพเขียนแสดงเหตุการณ์สรรพสัตว์บนโลกอย่างละคู่ทยอยเดินทางขึ้นเรือโนอาห์ ก่อนพระเจ้าจะบันดาลให้เกิด น้ำท่วมโลก ครั้งใหญ่
ขอบคุณภาพจาก https://www.myjewishlearning.com/article/lessons-of-the-flood/

ฤาตำนาน น้ำท่วมโลก จะมาจากน้ำท่วมใหญ่ในยุคน้ำแข็ง

เพราะบาปและความชั่วที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนของมนุษย์ พระเจ้าจึงล้างกระดานด้วยการบันดาลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ คงเหลือไว้แต่ครอบครัวของโนอาห์และสรรพสัตว์ หลังฝนตกลงมาอย่างหนัก 40 คืน 40 วัน ในที่สุดทั้งโลกก็จมอยู่ใต้น้ำ และหนึ่งปีผ่านไป เมื่อระดับน้ำลดลง ครอบครัวของโนอาห์จึงออกมาจากเรือ ลูกหลานของเขากระจายกันไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ทั่วโลก

หนึ่งในตำนาน น้ำท่วมโลก ที่โด่งดังที่สุดจากหนังสือปฐมกาลของคัมภีร์ไบเบิล ทว่าตำนานน้ำท่วมใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยถูกค้นพบมานั้นเป็นของชาวสุเมเรียนที่อาศัยอยู่ยังบริเวณดินแดนเมโสโปเตเมีย เมื่อ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกลงบนแผ่นดินเหนียวในรูปแบบของอักษรลิ่มมีใจความว่า บรรดาเทพทรงตัดสินใจทำลายมนุษย์ และคงเหลือไว้แค่มนุษย์ที่ทำคุณความดี น้ำจากมหาสมุทรจึงไหลเข้าท่วมถึงแม่น้ำไทกริส ยูเฟรติส ชาวบาบิโลเนียที่สร้างอาณาจักรขึ้นในดินแดนอิรักปัจจุบันเมื่อ 3,750 ปี ถึง 500 ปีก่อนคริสตกาล ก็มีบันทึกเรื่องราวของเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ และการอพยพลงเรือในสมัยกษัตริย์องค์ที่ 10 ของราชวงศ์บาบิโลนเช่นกัน

สอดคล้องกับตำนานเกี่ยวกับพระมนู ของชาวฮินดู เมื่อปลามาบอกข่าวว่าน้ำจะท่วมโลก พระองค์จึงสร้างเรือลำยักษ์ เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากภัยพิบัติ ด้านชาวกรีกโบราณ และชาวอียิปต์เองก็มีเรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกันนี้ เหตุใดสำนึกเรื่องน้ำท่วมครั้งใหญ่จึงปรากฏในหลากหลายชนชาติ? ดูเผินๆ อาจเป็นเพียงวัฒนธรรมที่รับต่อกันมา แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ขึ้นจริง

 

โลกในยุคน้ำแข็ง

จากหลักฐานด้านโบราณคดี และบรรพชีวินวิทยา บ่งชี้ว่าในอดีตทะเลหลายแห่งยังคงเป็นเพียงทะเลสาบที่มีผู้คนตั้งถิ่นฐานและอารยธรรมรอบๆ ในขณะที่ชายฝั่งปัจจุบันเองกลับเป็นผืนแผ่นดินและต่อมาดินแดนเหล่านี้ถูกมหาสมุทรรุกล้ำกลืนกินไป ก่อให้เกิดทฤษฎีที่ว่าเมื่อราว 11,700 ปีก่อน ในยุคน้ำแข็งสุดท้าย ธารน้ำแข็งที่เริ่มละลายส่งผลให้ระดับน้ำทะเลบนโลกเพิ่มสูงขึ้น

จินตนาการถึงหน้าตาของโลกเมื่อหมื่นปีก่อน ทวีปต่างๆ ยังคงเหมือนในปัจจุบัน ทว่ามีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากน้ำส่วนหนึ่งบนโลกถูกกักเก็บไว้ในรูปของธารน้ำแข็ง ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลในช่วงเวลานั้นต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปัจจุบันราว 115 – 120 เมตร อย่างไรก็ดีพื้นที่ชายฝั่งที่เพิ่มมานั้นต้องแลกมากับพื้นที่บนโลกบางส่วนอันหนาวเหน็บ ธารน้ำแข็งความหนาหลายกิโลเมตรได้แผ่ขยายปกคลุมทางตอนเหนือของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ในขณะที่พื้นที่ที่ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันอย่างทะเลทรายซาฮารา กลับเต็มไปด้วยต้นไม้และทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม

แผนที่โลกในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้าย
ขอบคุณภาพจาก Answermagazine.com

(ชมแผนที่ขนาดใหญ่ได้ ที่นี่)

ในเวลานั้นน้ำทะเลลดต่ำลงจนเกิดเป็นสะพานแผ่นดินเชื่อมระหว่างไซบีเรียและอลาสกา ส่วนทางตอนใต้ของเกาะอังกฤษมีทุ่งหญ้าทอดยาวไปจนถึงทางตอนเหนือของฝรั่งเศส บรรดาเกาะแก่งในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีขนาดใหญ่ และจำนวนมากกว่าในปัจจุบัน อ่าวเปอร์เซียยังคงไม่เกิดขึ้น ส่วนที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ไทย มาเลเซีย ไปจนถึงอินโดนีเซียเชื่อมต่อเป็นดินแดนเดียวกัน ชายฝั่งทางตะวันออกของจีนทอดไกลออกไปจนรวมไต้หวันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ด้วยและลากยาวไปจนถึงประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ออสเตรเลียมีผืนดินเชื่อมต่อกับเกาะปาปัวนิวกินี

นั่นคือโลกเมื่อราว 17,000 – 11,700 ปีก่อน แต่แล้วหลายสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อธารน้ำแข็งละลาย ในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย…

งานวิจัยของ โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Robert Ballard) นักโบราณคดีใต้น้ำผู้อาศัยเครื่องโซนาร์ และกล้องถ่ายภาพใต้น้ำสำรวจในทะเลดำค้นพบแนวชายฝั่งโบราณที่อยู่ห่างจากแนวชายฝั่งปัจจุบันในตุรกีถึง 167 เมตร นอกจากนั้นยังพบเครื่องมือหิน กำแพงไม้ และเศษถ้วยจานชาม ที่ถูกฝังอยู่ใต้ทะเลมานานหลายพันปี บ่งชี้ว่านี่คือแหล่งอารยธรรมโบราณมาก่อน ในขณะที่หลักฐานทางซากดึกดำบรรพ์บ่งชี้ว่าที่นี่ในอดีตมีซากของหอยน้ำจืด แต่จู่ๆ ในช่วงเวลาหนึ่งพวกมันกลับสูญหายไป และปรากฏเหลือแค่เพียงซากหอยน้ำเค็ม

 

(อ่านต่อหน้าสองได้ ที่นี่)

 

 

เกิดอะไรขึ้นกับทะเลดำ?

นักวิชาการคาดกันว่า ในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ธารน้ำแข็งเริ่มละลายส่งผลให้ระดับน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสูงขึ้น น้ำจากทะเลไหลทะลักเข้ายังทะเลมาร์มะราของตุรกี ครั้นระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาเตี้ยๆ ที่เป็นปราการกั้นน้ำตามธรรมชาติจึงรับแรงดันน้ำไม่ไหว สุดท้ายปริมาณน้ำอันมหาศาลจึงไหลเข้าท่วมยังทะเลดำที่เคยเป็นทะเลสาบในอดีต ผืนน้ำกลืนกินชายฝั่งให้ถอยร่นไปมากถึง 800 เมตร จนในที่สุดทะเลสาบน้ำจืดก็กลายมาเป็นทะลน้ำเค็มที่มีระดับน้ำสูงกว่าเดิมถึง 150 เมตร ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดังกล่าวเดิมจำต้องอพยพย้ายที่อยู่ใหม่ คงเหลือไว้แต่ร่องรอยอารยธรรมที่จมหายไปกับสายน้ำ

กราฟิกแสดงขอบชายฝั่งทะเลดำที่ถูกน้ำทะเลรุกล้ำจากการละลายของธารน้ำแข็งในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ขอบคุณภาพจาก https://www.whoi.edu/oceanus/feature/noahs-not-so-big-flood

ด้านวาเลตินา ยันโก-ฮอมบัก (Valemtina Yanko-Hombach) นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ประยุกต์อวาลอน เมืองวินนิเปก รัฐแมนิโทบาในแคนาดา และออเดรย์ เชปาไลกา (Andrey Tchepalyga) จากสถาบันภูมิศาสตร์ในกรุงมอสโกมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้รุนแรงและรวดเร็วเช่นในตำนานหรือพระคัมภีร์ หากเป็นการเพิ่มสูงขึ้นของระดับน้ำทะเลทีละน้อยๆ ตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี ซึ่งจากการวิเคราะห์ตะกอนและข้อมูลแผ่นดินไหวในทะเลดำบ่งชี้ว่าน้ำจากทะเลอื่นๆ ได้ไหลเข้าท่วมยังบริเวณนี้ตั้งแต่ 14,000 ปีมาแล้ว และค่อยๆ ผลักดันให้ผู้คนออกไปตั้งถิ่นฐานยังภูมิภาคอื่น

เหตุการณ์นี้คือต้นกำเนิดของตำนานน้ำท่วมโลกใช่หรือไม่? มีความเป็นไปได้มากที่เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีตนี้จะถูกเล่าปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น และในที่สุดก็กลายมาเป็นตำนานที่มีรายละเอียดผิดเพี้ยนไปจากเดิมในหลายวัฒนธรรม แคเรน อาร์มสตรอง (Karen Armstrong) ผู้เขียนหนังสือ “A History of God” มองว่าในอดีตเมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานของเหตุภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ ตามธรรมชาติคนเราต้องการคำตอบเพื่อคลายข้อสงสัยตลอดจนความโศกเศร้าจากการสูญเสีย ดังนั้นตำนานหรือคำอธิบายเหนือธรรมชาติจึงเกิดขึ้น

อ่าวเปอร์เซียเองก็ถือกำเนิดขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงเมื่อราว 18,000 – 16,000 ปีก่อน ด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าร่องรอยของอารยธรรมโบราณยังคงจมอยู่ในนั้น จากภาพคือกราฟิกจำลองดินแดนในช่วงเวลาที่ยังไม่ถูกน้ำท่วมดังวงเส้นสีแดงในปัจจุบัน
ขอบคุณภาพจาก https://anthonymarr13.wordpress.com/2012/02/10/i-t-2-05-transcendence-limits-of-ants-and-humans/

 

น้ำท่วมโลกบทใหม่

ศาสนาใหม่ในอนาคตจะผนวกเอาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้าไปในตำนานคำพยากรณ์ไหม? หรือพระเยซูจะยังเสด็จกลับมายังโลกหรือไม่ หากวันสิ้นโลกเปลี่ยนไปจากในพระคัมภีร์? หายนะภัยเริ่มต้นขึ้นด้วยน้ำมือเราเอง เมื่อผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลให้ผู้คนนับล้านต้องไร้ที่อยู่เพราะระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง และอีกหลายล้านต้องเผชิญภาวะขาดแคลนอาหาร

หากวันพรุ่งนี้น้ำแข็งบนโลกละลายไปจนหมด ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นทันที 65 เมตร ความสูงขนาดนี้จะทำให้เมืองใหญ่อย่างนิวยอร์ก ปักกิ่ง ลอนดอน กรุงเทพฯ ซิดนีย์ หรือกรุงไคโรจมอยู่ใต้น้ำ นี่คือภาพของน้ำท่วมใหญ่บทใหม่ที่มนุษยชาติกำลังจะเผชิญในอนาคต หากเรายังคงผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก และอันที่จริงมิต้องรอให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายไปจนหมด ทว่าเพียงระดับน้ำไม่กี่เมตรที่เพิ่มสูงขึ้น ความวุ่นวายก็บังเกิดแล้ว

 

 

ภาพกราฟิกจำลองโลกในอนาคต เมื่อน้ำแข็งละลายหมด เผยแพร่ลงในสารคดี “Rising Seas”นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกันยายน ปี 2013

(ชมภาพทวีปอื่นเพิ่มเติมได้ ที่นี่)

ทุกวันนี้ธารน้ำแข็งอย่างน้อย 596 แห่งจากจำนวน 674 แห่ง บนคาบสมุทรแอนตาร์กติกฝั่งตะวันตกกำลังลดถดถอย ทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงใส่ใจกับธารน้ำแข็งในบริเวณนี้? ทวีปแอนตาร์กติกาซึ่งมีปริมาณน้ำแข็งคิดเป็น 91% ของทั้งโลก ประกอบไปด้วยน้ำแข็งสองผืนใหญ่คือแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันออก และแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตก แผ่นน้ำแข็งแรกนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันตั้งอยู่เช่นนั้นมานานเป็นสิบล้านปีมาแล้วจากการซากดึกดำบรรพ์ ในขณะที่พืดน้ำแข็งฝั่งตะวันตกนั้นมีสถานะที่ไม่มั่นคงกว่า เนื่องจากน้ำแข็งส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ยึดติดกับพื้นดินใต้ทะเล หากถูกหนุนไว้ด้วยเนินหรือภูเขาใต้น้ำ ดังนั้นมันจึงแตกหักออกได้ง่ายและเปราะบางกว่าแผ่นน้ำแข็งฝั่งตะวันออก อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญบางท่านมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการละลายของแผ่นน้ำแข็งฝั่งตะวันตกนั้นมีน้อยกว่าฝั่งตะวันออก เนื่องจากน้ำแข็งนี้ได้แทนที่น้ำอยู่แล้วเป็นส่วนมาก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เผยภาพถ่ายทางอากาศของหิ้งน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่าแมนฮัตตัน 3 เท่า ที่กำลังจะแตกออกจากธารน้ำแข็ง Pine Island ส่วนหนึ่งของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกตะวันตก นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นรอยแตกครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายนและติดตามเรื่อยมา โดยคาดกันว่าสิ้นเดือนนี้หิ้งน้ำแข็งดังกล่าวจะหลุดลอยออกสู่ทะเลในที่สุด

ฤๅอันที่จริงจุดเริ่มต้นของตำนานน้ำท่วมโลกบทใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตั้งแต่เมื่อปี 2015 เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 1 องศาเซลเซียส และกำลังร้อนขึ้นโดยเฉลี่ยทศวรรษละ 0.17 องศาเซลเซียส…

 

อ่านเพิ่มเติม

ฤาประวัติศาสตร์จะจมบาดาลตลอดกาล เมื่อตุรกีสร้างเขื่อน

 

แหล่งข้อมูล

ลมฟ้าอากาศพลิกประวัติศาสตร์โลก / ลอรา ลี เขียน, คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ แปล

น้ำท่วมโลกตามคติคัมภีร์ศาสนา / สมศักดิ์ ตันติวิวัทน์ / พิชัย โตวิวิชญ์

หยุดโลกร้อน : ก่อนน้ำแข็งขั้วโลกละลายและน้ำท่วมโลก / เจตน์ เจริญโท

Ice Age earth : late Quaternary geology and climate / Alastair G. Dawson

Did the melting ice caps cause Noah’s flood?

When Was the Ice Age in Biblical History?

Evidence Noah’s Biblical Flood Happened, Says Robert Ballard

โลกเสี่ยงภาวะเรือนกระจกแบบถาวร หากปล่อยให้ร้อนอีก 2 องศาเซลเซียส

What the World Would Look Like if All the Ice Melted

 

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.