โลกร้อน ส่งผลกระทบ สร้าง โอโซนพิษ ทำ “คุณภาพอากาศระดับพื้นดินเริ่มแย่ลง และสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อสุขภาพของคุณ
การเพิ่มขึ้นของ โอโซนพิษ ในระดับต่ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เพิ่มโอกาสให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจให้กับผู้ที่เป็นหอบหืด ถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรังให้มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ
.
ควันที่พวยพุ่งออกมาจากโรงงาน และควันดำที่ไหลออกจากปลายท่อไอเสียรถยนต์ ทำให้อากาศที่เราหายใจมีความไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น แม้จะมีประกาศใช้กฏหมายควบคุมในช่วงทศวรรษปี 1960 (ในสหรัฐอเมริกา) เพื่อสร้างอากาศสะอาด แต่ในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “การลงโทษด้านสภาพอากาศ” กำลังเริ่มต้นขึ้นโดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
.
มันทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงอย่างแน่นอน และหนึ่งในตัวการสำคัญก็คือ ‘โอโซนที่อยู่ในระดับพื้นดิน’ โอโซนนี้ได้เข้าไปทำลายระบบทางเดินหายใจ พร้อมกับทำให้ปอดเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
.
ตามรายงานของบริษัทวิจัย ‘First Street’ ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่าคุณภาพอากาศในอเมริกาตอนนี้และอีก 30 ปีข้างหน้า จะมีความใกล้เคียงกับช่วงต้นทศวรรษ 2000 แทนที่จะดีขึ้น
.
โดยมีสาเหตุหลักคือโอโซนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น ร่วมกับไฟป่าที่เกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งคาดว่าจะมีความถี่กับความรุนแรงเพิ่มขึ้น และควันเหล่านี้ก็ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
.
ปัญหาเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นอย่างน่ากังวล แม้แต่กับในพื้นที่ที่ยังไม่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพอากาศในตอนนี้ ก็มีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับโอโซนระดับพื้นดินในอนาคต ขณะเดียวกัน คลื่นความร้อนซึ่งเกิดบ่อยกว่าเดิมถึง 3 เท่า และยาวนานกว่าหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็มีส่วนทำให้ปัญหานี้รุนแรงเป็นพิเศษ
.
“เมื่อคุณมีอุณหภูมิสูง มีแสงแดดมาก และอากาศนิ่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ปกติในช่วงคลื่นความร้อน มันเป็นสูตรสำเร็จที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างโอโซนระดับพื้นดิน” ลอเรตตา มิกค์เลย์ (Loretta Mickley) นักวิจัยอาวุโสด้านปฏิกิริยาระหว่างเคมีและภูมิอากาศ ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด กล่าว
.
จากการวิจัยมิกค์เลย์เผยให้เห็นว่า บางส่วนของประเทศ (อเมริกา) จะประสบปัญหาโอโซนในระดับพื้นดิน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการแจ้งเตือนวันที่อากาศแย่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2050 นี้ ซึ่งอาจมากถึง 9 วันต่อปี แม้แต่ในปัจจุบันโอโซนก็กำลังทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงกว่าเดิมในบางพื้นที่แล้ว
.
“สิ่งนี้มักจะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ” เจเรมี พอร์เตอร์ (Jeremy Porter) นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศที่บริษัทวิจัย Frist Street กล่าว
.
ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เอง ก็ยังคงเน้นย้ำถึงความอันตรายของโอโซนในการประเมินสภาพภูมิาอากาศแห่งชาติครั้งที่ 5 ซึ่งเผยแพร่เมื่อปีที่แล้วว่า โอโซนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ได้รับการ “คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้คุณภาพอากาศแย่ลงในหลายภูมิภาค ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์” รายงานระบุ
ความร้อนมีบทบาทอย่างมาก
โอโซนระดับพื้นดินเป็นก๊าซที่ไม่มีสี โดยเกิดขึ้นเมื่อส่วนผสมของสารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยง่ายของสารตั้งต้น และไนโตรเจนทำปฏิกิริยากับแสงแดด แม้ว่าสารตั้งต้นเหล่านี้บางส่วนจะถูกปล่อยออกมาตามธรรมชาติทั้งต้นไม้และพื้นดิน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วโอโซนหลายชนิดมาจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะยานพาหนะ โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรม โรงกลั่น และโรงงานเคมี
.
โอโซนเหล่านี้เชื่อมโยงกับสภาพอากาศ โดยมีอุณหภูมิของอากาศเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการก่อตัวของโอโซน
.
“อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น จะทำให้สารเคมีรวมตัวกันและสร้างโอโซนได้” พอร์เตอร์ บอก อุณหภูมิโดยรวมที่สูงขึ้นจะนำไปสู่ระดับโอโซนที่สูงขึ้นในระยะนั้น และไปเพิ่มจำนวนวันอากาศแย่เฉลี่ยให้มีมากขึ้นในแต่ละปี
.
รายงานการประเมินสภาพภูมิอากาศแห่งชาติคาดการณ์ว่า การเกิดโอโซนระดับพื้นดินที่รุนแรงจะมีเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและแคลิฟอร์เนีย ในขณะที่โอโซนเฉลี่ยตลอดทั้งปีจะเพิ่มขึ้นมากสุดในแถบมิดเวสต์ และตะวันออกเฉียงเหนือ Frist Street ยังเชื่อว่าพื้นที่ต่าง ๆ เองก็กำลังเริ่มสะสมปัญหานี้เช่นเดียวกัน
.
จากการประเมินระดับนานาชาติ ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มีรายได้น้อยและชนกลุ่มน้อยมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ เนื่องจากชุมชนเหล่านี้มักตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานและโรงกลั่นน้ำมันที่ปล่อยสารเคมีตั้งต้นจำนวนมาก
.
“ทุกคนต้องให้ความสนใจกับโอโซนมากขึ้น” เจฟฟรีย์ ยาโนสกี (Jeffrey Yanosky) นักวิจัยจากสถาบันพลังงานและสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยเพนน์สเตต กล่าว “คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ามีสารที่อาจเป็นอันตรายในชั้นบรรยากาศ และระดับของสารเหล่านั้นอาจเพิ่มสูงขึ้น”
คนที่เป็นโรคทางเดินหายใจต้องรับกรรม
โอโซนเป็นสารประกอบที่สร้างขึ้นจากอะตอมออกซิเจน 3 อะตอม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักอยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ มันมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตประเภท UVB ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมด และเป็นสาเหตุของมะเร็วผิวหนังในมนุษย์
.
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1980 ได้แสดงความกังวลเมื่อพวกเขาพบว่าชั้นโอโซนในสตราโตสเฟียร์เหนือทวีปแอนตาร์กติกานั้นบางลง (หรือเรียกง่าย ๆ ว่ารูโอโซน) ทำให้รังสีอันตรายสามารถทะลุผ่านเข้ามาได้ สิ่งนี้ได้นำไปสู่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เรียกว่า ‘พิธีสารมอนทรีออล’ เพื่อยุติการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน
.
ในขณะที่โอโซนที่อยู่สูงขึ้นไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อเราทุกคน แต่โอโซนในระดับพื้นดินกลับเป็นอันตรายต่อทุกชีวิต จึงเป็นสาเหตุให้หลายหน่วยงานระบุว่าโอโซนประเภทนี้เป็น ‘มลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย’
.
มันเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและทำให้ปอดเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยหลาย ๆ คนรายงานว่ามีอาการไอหรือคอแห้ง และมีอาการเจ็บขณะหายใจ ผลกระทบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดี ยาโนสกี เล่าว่าการปั่นจักรยานในวันที่ระดับโอโซนพื้นดินสูง ทำให้เกิดการแสบร้อนที่คอและหน้าอกระหว่างทำกิจกรรม
.
แต่ในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรังนั้นมีความเสี่ยงเป็นพิเศษ จนทำให้มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคเหล่านี้เพิ่มขึ้นในพื้นที่ที่มีโอโซนพื้นดินอยู่ในระดับสูง
.
มาร์การิต้า ทอร์เรส (Margarita Torres) ผู้ประสานงานการศึกษาด้านการแพทย์วัย 50 ปีในโฮมสเตต รัฐฟลอริดา ซึ่งป่วยเป็นโรคหอบหืดมาตั้งแต่เด็ก เธอมีความกังวลมากขึ้นว่าสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นของฟลอริดาตอนใต้และคลื่นความร้อนที่บ่อยขึ้นนั้น อาจทำให้ระดับโอโซนในท้องถิ่นและโรคของเธอรุนแรงขึ้น
“เนื่องจากฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นและร้อนขึ้น ฉันกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจะส่งผลต่อโรคหอบหืดของฉันต่อไปอย่างไร” ทอร์เรส กล่าว “จะเกิดอะไรขึ้นกับคนอย่างฉัน”
การเพิ่มกฎระเบียบและส่งเสริมการใช้เครื่องฟอกอากาศของหน่วยงานควบคุมมลพิษสหรัฐฯ (EPA) ได้แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันไม้ให้ผู้คนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลได้มากกว่า 100,00 ราย และป้องกันการสูญเสียงานและวันเรียนหลายล้านครั้งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา แต่ผลประโยชน์เหล่านี้กำลังเสี่ยงที่จะพลิกกลับด้าน
แม้แต่ต้นไม้บางชนิด เช่น ต้นพอนเดอโรซา (ponderosa), ต้นสนไวท์ไพน์ (white pine trees), ต้นแบล็คเชอร์รี่ (black cherry trees) และต้นไม้แดงเอลเดอร์ (red alder) ก็ได้รับความเสียหายทันทีจากโอโซนระดับพื้นดินที่มากเกินไป
การพลิกกลับของแนวโน้ม
การเปลี่ยนยานพาหนะจำนวนมากจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นไฟฟ้า จะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ผลการศึกษาพบว่าสิ่งที่ทำให้เกิดโอโซนระดับพื้นดินสูงมากที่สุดในหลายเมืองคือรถยนต์และรถบรรทุก
การดำเนินการอื่น ๆ ที่ช่วยจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดปัญหาด้านอากาศ รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน พร้อมกับส่งเสริมให้ลดก๊าซมีเทนในการเกษตรและการสกัดก๊าซธรรมชาติ ก็มีส่วนช่วยในปัญหานี้
หากคุณต้องออกไปข้างนอกในช่วงที่มีโอโซนพุ่งสูงขึ้น ทาง EPA แนะนำว่าให้เปลี่ยนไปใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการขับรถ หรืออย่างน้อยก็จำกัดรอบเดินเบาของเครื่องยนต์เพื่อลดปริมาณสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่ปล่อยออกมา รวมถึงแนะนำให้เลิกใช้สารเคมีในครัวเรือนหรือในสวนที่สามารถระเหยไปในอากาศ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอโซนระดับพื้นดินเพิ่มเติมได้
“สิ่งที่จะเกิดในอนาคต ขึ้นอยู่กับแนวทางของเราในการปล่อยสารตั้งต้น (โอโซน) จากมนุษย์” มิกค์เลย์ กล่าว “เรามีทางเลือกในการก้าวไปข้างหน้า”
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.nationalgeographic.com/premium/article/climate-change-ozone-worse-respiratory-diseases