“ดาวเคราะห์สีแดงใกล้โลกที่เต็มไปด้วยฝุ่นแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำสีฟ้าเต็มไปหมด”
“เรากำลังค้นพบสถานที่บนดาวอังคารที่เคยดูเหมือนชายหาดโบราณและสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโบราณ” เบนจามิน คาร์เดนัส (Benjamin Cardenas) นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย กล่าว “เราพบหลักฐานเกี่ยวกับลม คลื่น และทรายมากมาย ซึ่งเป็นชายหาดที่เหมาะสำหรับการพักอย่างแท้จริง”
เป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อว่า ดาวอังคาร นั้นเป็นดาวเคราะห์ที่แห้งแล้งมาตลอดประวัติศาสตร์ระบบสุริยะ เนื่องจากปัจจุบันมันเต็มไปด้วยฝุ่นสีแดงและดูจะไร้ซึ่งชีวิตใด ๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะระบุอย่างง่ายดายว่าดาวอังคารไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าฝุ่นและหิน ทว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำงานเช่นนั้น เราสำรวจและตรวจสอบมันเพื่อค้นหาความจริง
และความจริงที่ว่านั้นก็คือ น้ำ ซึ่งเริ่มต้นในช่วงทศวรรษ 1970 ภาพจากยานมาริเนอร์ 9 (Mariner 9) ของนาซา (NASA) ที่โครจรรอบดาวอังคารได้เผยให้เห็นพื้นผิวที่มีรูปร่างประหลาด มันเหมือนพื้นผิวที่ถูกน้ำกัดเซาะ นับตั้งแต่นั้นมานักวิทยาศาสตร์ก็พบหลักฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของเราเคยมีน้ำอยู่เต็มไปหมด
ดังนั้นคำถามจึงไม่ใช่ประโยคที่ว่า ‘ดาวอังคารเคยมีน้ำหรือไม่?’ แต่เป็น ‘ดาวอังคารเคยมีน้ำอยู่มากเท่าไหร่และอยู่ได้นานเพียงใด’ กล่าวอีกอย่างดาวอังคารเคยมีมหาสมุทรหรือไม่?
“มหาสมุทรนั้นมีความสำคัญต่อดาวเคราะห์ มหาสมุทส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพอากาศ โดยกำหนดรูปร่างพื้นผิวของดาวเคราะห์ และเป็นสภาพแวดล้อมที่อาจอยู่อาศัยได้” ไมเคิล มังกะ (Michael Manga)
“ดังนั้นการสำรวจดาวอังคารจึงเป็นการ ‘ตามน้ำไป’ สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมก็คือโอกาสที่เราจะได้มองลงไปใต้พื้นผิวของสถานที่ที่เราคิดว่าอาจมีมหาสมุทร และได้เห็นสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตะกอนจากชายหาด”
ดาวเคราะห์สีแดงและน้ำสีฟ้า
ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร PNAS โดยทีมสำรวจที่เกิดจากความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์จีน-อเมริกัน ได้ใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากยานสำรวจดาวอังคารจู้หรง (Zhurong) แห่งองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน และระบุว่าสถานที่แห่งนี้มีชายหาดโบราณซ่อนอยู่
จู้หรงได้ลงจอดบนสถานที่ที่ชื่อว่า ‘ยูโทเปีย พลานิเทียทางตอนใต้’ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2021 มันเป็นหนึ่งในแอ่งตกระทบที่ใหญ่ที่สุดบนดาวอังคาร และสันนิษฐานกันว่ามันอาจจะเคยมีมหาสมุทรโบราณอยู่ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินที่จะศึกษามา
ขณะที่จู้หรงเดินทาง มันได้ใช้เรดาร์ตรวจจับพื้นดินหรือ Ground-penetrating Radar (GPR) เพื่อตรวจสอบหินที่อยู่ลึกลงไป 80 เมตรจากพื้นผิวดวงดาว เทคโนโลยีนี้จะส่งคลื่นวิทยุลงไปและเมื่อคลื่นกระทบกับวัสดุที่มีความหนาแน่น มันก็จะสะท้อนกลับมาในลักษณะเฉพาะของประเภทวัตถุดังกล่าว ซึ่งนำมาสร้างเป็นแผ่นที่ 3 มิติของโครงสร้างที่อยู่ลึกลงไปได้
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คื ข้อมูล GPR เผยให้เห็นว่าลึกลงไปใต้ดินนั้นมีวัสดุหนา ๆ ซ่อนอยู่ตามเส้นทางที่จู้หรงเดินไป 1.3 กิโลเมตร และความพิเศษก็คือ มันทำมุมลาดเอียงราว 15 องศาคล้ายกับชายหาดบนโลกของเราเอง
“โครงสร้างเหล่านี้ดูไม่เหมือนเนินทราย ดูไม่เหมือนหลุมอุกกาบาต ดูไม่เหมือนลาวาไหล นั่นคือตอนที่เราเริ่มคิดถึงมหาสมุทร” มังกะ กล่าว “การวางแนวของลักษณะเหล่านี้ขนานไปกับแนวชายฝั่งเดิม มีทั้งการวางแนวและความลาดเอียงที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่า มหาสมุทรจะสะสมชายหาดที่มีลักษณคล้ายทรายเป็นเวลานานได้อย่างไร”
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ลักษณะเหล่านี้บ่งชี้ถึงมหาสมุทรที่มีน้ำเป็นของเหลวจำนวนมากโดยคาดว่าได้รับน้ำมาจากแม่น้ำที่พัดพาตะกอนมา รวมทั้งมีคลื่นและกระแสน้ำขึ้นน้ำลงด้วย ทั้งหมดนี้ยังนำไปสู่การคาดเดาว่าดาวอังคารน่าจะมีวัฏจักรน้ำของตัวเองเป็นเวลาหลายล้านปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการก่อตัวของตะกอนบนโลก
“หากต้องการให้เกิดรอยเป็นริ้วคลื่น เราจำเป็นต้องมีทะเลสาบที่ไม่มีน้ำแข็ง ตอนนี้เรากำลังบอกว่า(ดาวอังคาร)มีมหาสมุทรที่ไม่มีน้ำแข็ง และแทนที่จะมีริ้วคลื่น เรากำลังเห็นชายหาด” มังกะ กล่าว
แม้ดาวอังคารจะไม่มีดวงจันทร์บริวารที่ใหญ่คล้ายกับโลกซึ่งสามารถสร้างอิทธิพลต่อกระแสน้ำบนโลกได้มากที่สุด แต่ดวงอาทิตย์เองก็มีอิทธิพลต่อกระแสน้ำได้ด้วยเช่นกันและเมื่อเสริมด้วยคลื่นลมบนดาวอังคาร มหาสมุทรจึงสามารถกัดเซาะและสร้างชายหาดได้
การค้นพบใหม่นี้ได้ให้หลักฐานเพิ่มเติมว่าดาวอังคารนั้นมีสภาพที่เหมาะสมต่อการอาศัยอยู่มากขึ้น และยังชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสมากที่เราจะเจอสัญญาณของสิ่งมีชีวิตโบราณบนดาวเคราะห์สีแดงที่มีมหาสมุทรสีฟ้านี้ หากเราสามารถไปที่นั่นพร้อมกับอุปกรณ์ที่เหมาะสม
“สภาพแวดล้อมชายฝั่งที่มีน้ำ แผ่นดิน และชั้นบรรยากาศต่างรวมกันเป็นหนึ่งในสภาพแวดล้อมที่สามารถอาศัยอยู่ได้ การรู้ว่าสภาพแวดล้อมเหล่านั้นอยู่ที่ใดและเมื่อใด จะช่วยชี้น้ำให้เราสำรวจและตีความการสังเกตการณ์อื่น ๆ เช่นจากดาวเทียมได้ดีขึ้น” มังกะ กล่าว
“ชายฝั่งนั้นเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตในอดีต ซึ่งเชื่อกันว่าชีวิตในยุคแรกเริ่มบนโลกก็เริ่มต้นจากสถานที่เช่นนี้ ใกล้กับรอยต่อระหว่างอากาศและน้ำตื้น”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.marinetechnologynews.com