“เย็นนี้ว่างมั้ย คุณทัพพ์ตกเปคูได้”
ข้อความสั้น ๆ จาก “เชฟเช้า” ต่อจันทน์ แคทริน บุณยสิงห์ เจ้าของร้าน Bite Me Softly ทำให้เราเปลี่ยนแผนจากนอนพักในวันที่ยังไม่หายไข้ดี มาเป็นหนูทดลองชิมเมนูปรุงจากปลาตัวใหญ่ที่กรมประมงตั้งชื่อใหม่ว่า “ปลาจาระเม็ดน้ำจืด”
เปคู พาคู หรือบางครั้งนิยมเรียกว่า ปลาคู้ เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อโตเต็มที่อาจมีลำตัวยาวกว่าหนึ่งเมตร น้ำหนักมากกว่า 40 กิโลกรัม พวกมันมีถิ่นกำเนิดในลุ่มน้ำแอมะซอนของทวีปอเมริกาใต้และเป็นญาติกับปลาปิรันยาที่คนไทยรู้จักกันดีในฐานะปลากินเนื้อดุร้ายที่หากินเป็นฝูง
ย้อนหลังไปเมื่อ พ.ศ. 2539 กรมประมงเคยสนับสนุนการเลี้ยงปลาคู้โดยหวังให้เป็นปลาเศรษฐกิจชนิดใหม่ แต่เมื่อหลุดเข้าสู่ระบบนิเวศธรรมชาติ คุณสมบัติเด่นของปลาชนิดนี้ เช่น เลี้ยงง่าย กินไม่เลือกทั้งพืชและสัตว์ เจริญเติบโตเร็ว และอายุยืน ซึ่งเคยเป็นข้อดีในบ่อเพาะเลี้ยง กลับกลายเป็นอาวุธสำคัญในการแก่งแย่งอาหารและทรัพยากรกับปลาน้ำจืดท้องถิ่น
“ดูง่ายๆ เลย เวลาให้อาหารปลาหน้าวัด พอเปคูว่ายเข้ามาแย่งอาหารเม็ด ตะเพียนก็ต้องออก มันกินทั้งอาหารเม็ดกับตะเพียน ปลากินพืชบ้านเราตัวเล็กๆ วงจรชีวิตก็สั้นกว่า เผลอๆ ก็เป็นอาหารมันได้เหมือนกัน” ทัพพ์ มีทรัพย์วัฒนา นักตกปลาเชิงอนุรักษ์ และคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนสมาคมปลาเกมนานาชาติ (International Game Fish Association: IGFA) บอกเรา
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เรื่องมาตรการป้องกัน ควบคุม และกําจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ได้จัดปลาเปคูแดง (Piaractus branchypomus) และปลาเปคูดำ (Colossoma macropomu) เข้าในทะเบียนรายการที่ 1 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในประเทศไทยและมีผลกระทบต่อระบบนิเวศ นั่นหมายความว่า การส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม นั่นดูจะขัดแย้งกับภาพแผงขายปลาปล่อยหน้าวัดใกล้สัปปายะสภาสถาน หรืออาคารรัฐสภา ซึ่งทัพพ์ชี้ให้เราดูในวันที่เข้าไปยื่นรายชื่อคัดค้านการแก้ไขพระราชกำหนดการประมง มาตรา 69 พ.ศ. 2568 ด้วยกัน
ที่นั่นมีลังใส่จาระเม็ดน้ำจืดพร้อมป้ายกำกับอานิสงส์ที่จะได้รับจากการปล่อยปลาชนิดนี้ว่า “จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย” เราค่อนข้างมั่นใจว่า ข้อความดังกล่าวไม่มีระบุไว้ในพระไตรปิฎกหมวดไหนแน่ แม้แต่มติมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2561 ก็ยังดำหนดให้พื้นที่วัดเป็นเขตห้ามนำสัตว์มาปล่อยและห้ามซื้อขาย หรือทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าชีวิตสัตว์ แต่สุดท้ายกฏหมายย่อมตามหลังปทัสถานของสังคมอยู่นั่นเอง และปฏิเสธไม่ได้ว่า ปลาปล่อยเป็นสาเหตุใหญ่ประการหนึ่งของการแพร่กระจายชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
เย็นวันนั้น เราฝ่าฝนและรถติดของกรุงเทพฯ มาย่านอารีย์เพื่อทดลองชิมเมนูจากปลาคู้ ภาพหัวปลาคู้ที่ชำแหละวางอยู่ในครัวดูน่าตื่นเต้นและแปลกพิกลในเวลาเดียวกัน นั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่แม้จะได้รับตั้งชื่อใหม่ก็แล้ว โปรโมตว่าเนื้ออร่อย ปรุงอาหารได้หลากหลายก็แล้ว การรับประทานปลาคู้ก็ยังไม่เป็นที่นิยมสมดังวัตถุประสงค์ในการนำเข้ามามากนัก
“เป็นยังไงบ้างคะ” เราถามทัพพ์ที่กำลังยกชิ้นซี่โครงปลาคู้คลุกเครื่องเทศชุบแป้งทอดขึ้นบีบมะนาวก่อนใส่ปาก ซึ่งดูเผินๆ เหมือนแลมป์ช็อป หรือซี่โครงแกะ มากกว่าซี่โครงปลา

ต่างถิ่นที่ใกล้ตัว
อันที่จริงสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกไม่ได้รับรู้ถึงเส้นแบ่งเขตแดนอธิปไตยระหว่างประเทศที่มนุษย์สมมติขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงคิดแบ่งเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกออกตามลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ลักษณะของพืชและสัตว์ที่พบ เรียกว่า “เขตชีวภูมิศาสตร์” (Biogeographic Region) โดยประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตโอเรียนทัล หรืออินโด-มาลายัน (Oriental Region or Indo-Malayan Region) และคาบเกี่ยวกับสามเขตสัตวภูมิศาสตร์ (Zoogeographical Region) ได้แก่ เขตชิโน-หิมาลายัน เขตอินโดจีน และเขตซุนดา
โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะมีเขตการกระจายพันธุ์ที่แคบ หรือกว้าง ขึ้นอยู่กับความสามารถและความต้องการที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังถูกท้าทายจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ เช่น เทือกเขาสูง หรือทะเลกว้างใหญ่ ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการยึดโยงกับสภาพแวดล้อมของตนเอง และเกิดความแตกต่างแปรผันระหว่างกันขึ้นมาในที่สุด
ตัวอย่างวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ซึ่งเป็นที่อ้างอิงอย่างกว้างขวางคือ กลุ่มนกฟินช์แห่งหมู่เกาะกาลาปาโกส ที่ชาลส์ ดาร์วิน ค้นพบว่าสภาพแวดล้อมกับชนิดเมล็ดพืชอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละเกาะ เป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection)
และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จากเดิมที่มีบรรพบุรุษนกฟินช์เพียงชนิดเดียว ก็ทำให้เกิดนกฟินช์ที่มีรูปลักษณ์เป็นชนิดเฉพาะของเกาะต่าง ๆ ขึ้นมาในที่สุด ทั้งนี้งานศึกษากลุ่มนกฟินช์ของดาร์วินนี้เองที่กลายเป็นรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการในเวลาต่อมา ทว่าข้อจำกัดทางชีวภูมิศาสตร์นี้ถูกทำลายลงในยุคแอนโทรโพซีน (Anthropocene) หรือช่วงเวลาธรณีกาลปัจจุบันที่มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรืองอำนาจของโลก
กล่าวกันว่า เพียงแค่น้ำในอับเฉาเรือเดินสมุทรก็สามารถทำให้เกิดการสับเปลี่ยนย้ายที่ของสิ่งมีชีวิตนับหมื่นชนิดไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลกได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน และการย้ายข้ามถิ่นฐานด้วยฝีมือมนุษย์นี่เองที่ทำให้สิ่งมีชีวิตซึ่งเคยมีวิวัฒนาการตามวิถีของตัวเองมานานนับล้านปี ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลและข้ามธรณีกาลมาพบกันอย่างไม่น่าเป็นไปได้ที่สุด นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “New Pangaea” หรือ มหาทวีปแพนเจียยุคใหม่

แม้จะฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ปรากฏการณ์เทรวมสิ่งมีชีวิตข้ามทวีปเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดการแข่งกันและแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มวลความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวมมิใช่จะมีมากขึ้นแต่กลับน้อยลง
นักนิเวศวิทยาคาดการณ์ว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งโลกถูกเขย่ารวมกัน (global homogenisation) กว่าโลกจะปรับสมดุลได้ก็อาจมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่บนบกเหลือเพียงหนึ่งในสามของจำนวนชนิดที่มีอยู่เดิม และจำนวนชนิดนก (ไม่นับรวมนกทะเล) ก็อาจลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (alien species) ที่เคลื่อนย้ายด้วยฝีมือมนุษย์ อย่างปลาคู้ มักเกิดจากเจตนาหวังผลเกี่ยวกับผลผลิตชีวภาพ อาทิ การเกษตร ป่าไม้ ประมง หรือเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่แฝงเร้นข้ามเขตภูมิศาสตร์โดยที่มนุษย์ไม่ได้ตั้งใจนำพาไปกับการขนส่ง หรือการเดินทางด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้การเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไม่ได้หมายความว่า สิ่งมีชีวิตนั้นจะต้องมาจากต่างแดนเสมอไป ถ้าหากเรานำชนิดปลาจากลุ่มแม่น้ำโขงมาปล่อยในลุ่มแม่น้ำสาละวินก็ถือเป็นการข้ามเขตสัตวภูมิศาสตร์แล้ว แม้ว่าลุ่มแม่น้ำทั้งสองจะอยู่ในเขตประเทศไทยก็ตาม
แนวคิดของเมกะโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่อย่างการผันน้ำโขงและสาละวินลงสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งในภาคกลาง จึงถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องแลกมาด้วยต้นทุนของระบบนิเวศ
รอย ฟาน ดรีช ผู้เชี่ยวชาญด้านชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานแห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์แอมเฮิร์สต์ สหรัฐอเมริกา (University of Massachusetts Amherst) เคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า ใน 100 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจะมีราวๆ 5-15 ชนิดที่สามารถลงหลักปักฐานในสิ่งแวดล้อมใหม่ได้สำเร็จ และจากจำนวนนี้อาจมีอยู่ชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพเพียงพอจะเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นแบบรุกราน (invasive alien species) ซึ่งหมายถึงพวกมันสามารถแพร่ระบาดจนส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพท้องถิ่น เปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบนิเวศ และเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจตามมาได้
ดังงานศึกษามูลค่าความเสียหายจากนกต่างถิ่นระหว่าง ค.ศ. 1940 ถึง 2020 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร PLOS ONE เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปี 2023 ซึ่งระบุว่า นกพิราบ (Columba livia) สร้างความเสียหายให้ทั่วโลกไปแล้วไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 65,000 ล้านบาท

เหรียญสองด้านของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
สิ่งมีชีวิตหลายชนิดทั้งพืชและสัตว์ถูกนำเข้ามาเพื่อใช้ประโยชน์เป็นเวลายาวนาน จนหลายคนไม่เคยรู้ หรือถึงรู้ก็ไม่อยากยอมรับว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เช่น พริกและมะละกอซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอเมริกากลาง แต่มีการนำเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยปลายอยุธยา ตาลโตนดที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาถูกนำมาเผยแพร่ในภูมิภาคนี้ตามเส้นทางขิงอิทธิพลอารยธรรมอินเดีย
ในไม่ช้าพืชพันธุ์เหล่านี้ก็ผสานเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแนบสนิทในฐานะส่วนประกอบของมื้ออาหารคาวหวาน สะท้อนภูมิปัญญาและความภาคภูมิใจในชาติ เช่นเดียวกับผลกีวีซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นแล้วต้องนึกถึงประเทศนิวซีแลนด์ แม้ว่าจะมีต้นกำเนิดในประเทศจีน ก่อนจะถูกนำเข้ามาในประเทศนิวซีแลนด์ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และได้รับการปรับปรุงพันธุ์จนเป็นที่นิยมทั่วโลกในเวลาต่อมา แม้แต่ประเทศจีนเองก็ยังนำเข้าพันธุ์กีวีจากนิวซีแลนด์ด้วย
การโยกย้ายแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่ส่งผลสำคัญต่อประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Columbian Exchange” ระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นหลังโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา แม้จะช่วยสร้างความเจริญ และความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรใหม่ ๆ ตอนจนทำให้โลกได้รู้จัก ข้าวโพด มันฝรั่ง และช็อกโกแลตแต่ขณะเดียวกัน เส้นทางการค้าที่เกิดขึ้นใหม่นี้ก็เป็นสะพานให้กับโรคระบาดอย่างมาลาเรีย ไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และสัตว์พาหะ เช่น หนู แมลงสาบ ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกด้วยเช่นกัน

ประเทศไทยนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) มากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และของโลก วัดจากจำนวนชนิดของพืช สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก ปลา และแมลงต่าง ๆ ซึ่งในจำนวนนี้ยังมีสัตว์ป่าหายากที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ และชนิดเฉพาะถิ่น (endemic species) ที่ไม่สามารถพบเห็นได้ที่ไหนในโลกด้วย
ข้อได้เปรียบของระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงเช่นนี้ มีความยืดหยุ่น (resilience) สูง จึงทำให้ผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสุขอนามัยของมนุษย์เกิดขึ้น “ช้ากว่า” ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายน้อยกว่า แต่ถึงธรรมชาติจะช่วยถ่วงเวลาให้ เราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งมีชีวิตต่างถิ่นชนิดใดบ้างจะรุกรานชีวิตของเรามากน้อยเพียงใด จนกว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นแล้วและบางครั้งก็อาจสายเกินไปที่จะกำจัดออกไปจากระบบนิเวศ
องค์ความรู้ที่จะพิจารณาความเสี่ยงของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นจึงสมควรจะทันสมัยและมีวิทยาศาสตร์รองรับรวมทั้งมีมาตรการป้องกันที่ดีและรัดกุม มากกว่าจะตัดสินด้วยอารมณ์จากความรู้สึกที่เป็นลบหรือบวก
มหันตภัยจากแม่กลอง
พ.ศ. 2555 พบปลาหมอคางดำระบาดเป็นครั้งแรกที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งนี้มีปลาน้ำจืดสองชนิดจากกลุ่มปลาหมอเทศที่สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ประเมินเมื่อ พ.ศ. 2561 แล้วว่า เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นลำดับความสำคัญสูงที่ต้องได้รับการควบคุม หรือกำจัดอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ปลาหมอมายัน (Cichlasoma urophthalmus) และปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) นอกจากนี้ ในเอกสารสรุปเส้นทางแพร่ระบาดยังกล่าวถึงปลาหมอบัตเตอร์ (Heterotilapia buttikoferi) และปลากะพงนกยูง (Cichla temensis) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดล่าเหยื่อขนาดใหญ่จากวงศ์เดียวกันอีกด้วย
ปลาสี่ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกและอเมริกาใต้ นำเข้าสู่ประเทศไทยผ่านสองช่องทางหลักๆ คือตลาดปลาสวยงาม และการปรับปรุงพันธุ์เพื่อใช้เป็นปลาเศรษฐกิจ ก่อนจะเกิดการเล็ดรอดจากแหล่งเพาะเลี้ยงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

ความที่ปลาหมอคางดำเจริญเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์อย่างรวดเร็ว โดยเพศผู้มีพฤติกรรมอมไข่เพื่อปกป้องตัวอ่อน อีกทั้งสามารถอาศัยได้แม้ในแหล่งน้ำคุณภาพต่ำ ออกซิเจนน้อย มีพฤติกรรมกินไม่เลือก ทั้งสัตว์น้ำเศรษฐกิจในที่เพาะเลี้ยง และสัตว์น้ำวัยอ่อนในระบบนิเวศ
การระบาดของพวกมันจึงไม่เพียงทำลายความหลากหลายของระบบนิเวศชายฝั่ง จนกลายเป็นปลาชนิดหลักในแหล่งน้ำธรรมชาติแทนปลาท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายห่วงโซ่อาหารในระยะยาวของคนไทยอีกด้วย นับเป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อมร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของประเทศไทย
กลุ่มประมงเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมงพื้นบ้านได้ประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจระหว่าง พ.ศ. 2560-2567 ไว้สูงถึง 2,486 ล้านบาท เป็นผลให้เกษตรกรจำนวนไม่น้อยต้องสิ้นเนื้อประดาตัว
“เดิมพี่น้องชาวประมงชายฝั่งเราหากินกับสัตว์น้ำทั่วไป ได้ปลาได้ปูวันละ 20-30 กิโลก็อยู่ได้ พอเป็นปลาหมอคางดำ ถ้าช่วงที่ไม่ได้มีงบอุดหนุน ก็ต้องหากันวันละ 200 กิโลฯ ถึงจะคุ้มค่าแรงค่าน้ำมัน” มงคล มงคลตรีลักษณ์ นายกสมาคมการประมงสมุทรสาคร เล่า
ปรากฏการณ์นี้ยังจุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องระหว่างภาคประชาสังคมและเอกชน โดยอุปสรรคสำคัญคือการที่กรมประมงได้ระบุว่า ไม่มีการเก็บตัวอย่างพันธุกรรมปลาหมอคางดำที่ถูกนำเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2553 ไว้ ซึ่งปัจจุบันคดียังอยู่ระหว่างกระบวนการยุติธรรม

พ.ศ. 2567 รัฐบาลประกาศให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ และอนุมัติงบประมาณ 450 ล้านบาท เพื่อควบคุมและกำจัดปลาในแหล่งน้ำที่พบการระบาด โดยร่วมมือกับเอกชนรับซื้อนำไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งปล่อยปลาผู้ล่าอย่างปลากะพงและปลาอีกงลงสู่แหล่งน้ำ โดยวิธีหลังยังมีข้อวิจารณ์จาก ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญปลาน้ำจืดว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
“การที่ [ปลาหมอ] คางดำเพิ่มขึ้นมาเยอะแสดงว่ามันขยายพันธุ์เร็วเกินกว่าผู้ล่าจะกำจัดไหว หรือไม่ก็มีผู้ล่าน้อยเกินไป ซึ่งก็ต้องไปดูว่า ทำไมผู้ล่าถึงน้อยเกินไป การปล่อยปลาผู้ล่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่มาก จะยั่งยืนกว่าถ้าเราทำให้ผู้ล่าขยายพันธุ์ได้ วิธีทำให้ธรรมชาติของเรามีสิทธิ์สู้คือ ทำสิ่งแวดล้อมให้สมบูรณ์ ทั้งคุณภาพน้ำ คุณภาพถิ่นอาศัย และการจับปลาแบบไม่ล้างผลาญ แต่ถามว่าทำหมดแล้วจะเอาอยู่ไหม ก็ยังคิดว่ายาก”
ในเรื่องนี้ มงคลก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน “ถ้าเป็นจังหวัดอื่นที่คุณภาพน้ำดี ปลาพื้นถิ่นยังพอจะแข็งแรงสู้ได้ เลยดูเหมือนไม่ได้ระบาดหนักเท่าที่สมุทรสาครเจอ”
“ทีนี้นโยบายต้องถูกจุด แล้วต้องทำพร้อมกัน อย่างงบอุดหนุนรับซื้อที่ไม่ได้กำหนดว่า จับบ่อ หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ มันก็ก้ำกึ่งว่า จะไปส่งเสริมให้เขาเลี้ยงบ่อแทนที่จะจัดการระบบบ่อให้ดี”
ปัจจุบัน ข้อมูลจากกรมประมงระบุว่า ยังคงพบสถานการณ์ระบาดของปลาหมอคางดำใน 16 จังหวัดที่มีแนวชายฝั่งติดอ่าวไทย เช่น สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ชุมพร ระยอง จากเดิมที่มีรายงาน 19 จังหวัด ส่วนปลาหมอบัตเตอร์พบระบาดหนักในพื้นที่เขื่อนสิริกิติ์ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์ในจังหวัดกาญจนบุรี
“ยาก” ไม่ได้แปลว่า เป็นไปไม่ได้
โครงการควบคุมและกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ต้องอาศัยงบประมาณมหาศาล ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ผู้นำองค์กรที่มีความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งมีการทำงานต่อเนื่องอย่างไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จึงจะสามารถผลักดันเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ให้ประสบความสำเร็จในที่สุด
ย้อนหลังไปเมื่อศตวรรษที่สิบแปด การล่าอาณานิคมและการล่าวาฬนำพาสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นอย่างหนูและแดนดีไลออนมาถึงสถานที่ห่างไกลคนละมุมโลกอย่างเกาะเซาท์จอร์เจียในมหาสมุทรใต้เหนือทวีปแอนตาร์กติกา
เกาะท่ามกลางความเวิ้งว้างนี้ นอกจากจะเป็นที่พำนักสุดท้ายของเซอร์เออร์เนสต์ แชกเคิลตัน นักสำรวจผู้เป็นตำนานแล้ว ยังเป็นแหล่งวางไข่สำคัญของนกทะเลจำนวนมากอย่างที่เรียกว่า “คอโลนี” เชื่อกันว่าที่นี่มีประชากรนกอยู่มากถึง 30 ล้านตัวจาก 81 ชนิด รวมทั้งยังเป็นบ้านของนกเด้าดินเซาท์จอร์เจีย (Anthus antarcticus) ด้วย
นกเด้าดินเซาท์จอร์เจียไม่เพียงเป็นนกท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะบนเกาะแห่งนี้ แต่ยังเป็นนกนักร้องเพียงชนิดเดียวบนเกาะด้วย ในไม่ช้าเมื่อฝูงหนูหิวโหยที่ปราศจากผู้ล่าตามธรรมชาติแพร่กระจายไปทั่วเกาะราวกับไฟไหม้ป่า พวกมันก็ขโมยกินไข่และลูกนกเด้าดินเซาท์จอร์เจียซึ่งทำรังวางไข่บนพื้นดินได้อย่างง่ายดาย
เมื่อปี 2011 โครงการฟื้นฟูระบบนิเวศของ South Georgia Heritage Trust เริ่มดำเนินโครงการกำจัดหนูจากเกาะโดยร่วมมือกับ Friends of South Georgia Island และกลุ่มสมาชิก IAATO (International Association of Antarctica Tour Operators)

โครงการนี้ใช้เวลาถึงเจ็ดปีกับงบประมาณราวสิบล้านปอนด์ (ราว 435 ล้านบาท) โดยใช้ทั้งเหยื่อพิษล่อ ทีมสุนัขดมกลิ่น และเฮลิคอปเตอร์ ไม่เพียงเป็นโครงการกำจัดหนูที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงอันตรายในการทำงานไม่น้อย เพราะทีมงานต้องฟันฝ่าสภาพอากาศที่มักจะเลวร้ายและคาดเดาได้ยาก จนเสียเฮลิคอปเตอร์ไปถึงสองลำ ทว่าในที่สุดก็สามารถทำให้นกเด้าดินเซาท์จอร์เจียกลับมาร้องเพลงดังเจื้อยแจ้วไปทั่วเกาะได้อีกครั้ง
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย หลายโครงการกลับสะท้อนให้เห็นถึงความรู้และแนวทางที่ไม่เชื่อมโยงกัน (แม้จะเป็นไปด้วยความตั้งใจที่ดี) และขาดความร่วมมือกับภาคประชาสังคม เช่น กรมประมงมีการปล่อยพันธุ์ปลาและกุ้งในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วประเทศครั้งละมาก ๆ นัยว่า เพื่อเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำและช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ละเลยความจริงที่ว่า นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศท้องถิ่นอย่างฉับพลัน อีกทั้งยังละเลยความพยายามที่จะบริหารจัดการทรัพยากรให้สมบูรณ์ที่เห็นผลช้าแต่ยั่งยืนกว่า
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีการปล่อยสัตว์ที่เพาะเลี้ยงในสถานีเพาะเลี้ยงคืนสู่ธรรมชาติ แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากนักวิชาการถึงความไม่เหมาะสมของชนิดสัตว์ที่ปล่อย และการปล่อยสัตว์จำนวนมากเกินไปในครั้งเดียว ทำให้เกิดการปนเปื้อนของพันธุกรรมและการแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด หรือแม้แต่ทางกรุงเทพมหานคร ที่มีโครงการปลูกต่อล้านต้น แต่กลับมีรายชื่อกล้าไม้ต่างถิ่นรวมอยู่กับพรรณไม้ท้องถิ่นจำนวนไม่น้อย เช่น มะฮอกกานีและเหลืองปรีดียาธรจากอเมริกาใต้ แคแสดจากทวีปแอฟริกา ทองอุไรจากทวีปอเมริกา เป็นต้น แทนที่จะเป็นผู้นำและแบบอย่างที่ดีในการวางรากฐานแนวคิดอนุรักษ์พรรณไม้ท้องถิ่น
การรักษ์โลกที่ขาดความเข้าใจ อาจเป็นแค่ไม้ประดับ
การเลือกใช้ไม้ดอกไม้ประดับที่เป็นพืชท้องถิ่นก็เป็นการต่อชีวิตให้กับแมลงผสมเกสร สัตว์ป่าในเมือง และสัตว์อพยพได้อีกทาง การเลี้ยงสัตว์ในระบบปิดเพื่อป้องกันโรคติดต่อ ลดโอกาสบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นทั้งกับสัตว์เลี้ยงของเราและสัตว์ในธรรมชาติ รวมทั้งการเลือกซื้อวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลเพื่อประกอบอาหาร ก็ถือว่ามีส่วนร่วมต่อการดูแลระบบนิเวศท้องถิ่น
การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นกับภาวะโลกรวนทำให้สิ่งมีชีวิตต้องปรับตัวและแสวงหาพื้นที่อาศัยใหม่ที่เหมาะสม แต่สิ่งปลูกสร้างของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นถนน เขื่อน ฝาย พื้นที่เกษตรกรรม หรือกังหันผลิตพลังงานลมกลับเป็นอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ในการเอาชีวิตรอดของพวกมัน
นั่นทำให้เรายิ่งต้องชั่งน้ำหนักสิ่งที่จะได้มาและสิ่งที่จะสูญเสียไปมากขึ้นกว่าเดิมว่า ในนามของการพัฒนานั้นมีราคาต้นทุนของสิ่งแวดล้อมและอนาคตของเราเองที่แฝงอยู่ด้วย ไม่ใช่ของฟรี
ระบบนิเวศที่แข็งแรงและมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีผู้ล่าในระบบที่ควบคุมประชากรสิ่งมีชีวิตในห่วงโซ่อาหารลำดับที่ต่ำลงมา มีสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นที่ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกอย่างสอดประสานอย่างสมดุล เปรียบเสมือนเสาเรือนที่เนื้อไม้แข็งแรง แต่หากประชากรสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นหายไปจากระบบนั้นสักชนิด และขาดความสามารถจะฟื้นฟูประชากรได้เองเนื่องจากปัจจัยแวดล้อม ระบบนิเวศเสียสมดุล ก็เหมือนเสาไม้ที่ผุกร่อนเปิดโอกาสให้เชื้อรากัดกิน ถ้าหาก ไม่รีบดูแลก็รอวันที่เรือนจะพังครืนลงไป
คำถามก็คือ เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะบุคคล ภาคเอกชน หรือแม้แต่ภาครัฐ มีความกล้าหาญพอที่จะเสียสละความสุขสบายส่วนตัวและผลประโยชน์บางประการเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของเราไว้หรือไม่

เนื้อปลาคู้ไม่เหมือนกับอะไรเลย
ย้อนกลับไปถึงเมนูปลาคู้หรือเปคูของเชฟเช้าที่เราได้ลิ้มลอง แม้สัมผัสแรกจะแน่นคล้ายเนื้อหมู แต่ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า เนื้อปลาคู้คือปลาคู้ ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่เราเคยกินได้
ทัพพ์คาดประมาณว่า อายุของปลาตัวนี้น่าจะมากกว่า 15 ปี ซึ่งอาจเป็นปลาคู้รุ่นแรก ๆ ที่เล็ดลอดสู่ธรรมชาติก็เป็นได้ ส่วน อ๊อบ – ธนิสร วศิโนภาส เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นเคนซากุที่เอื้อเฟื้อสถานที่ ให้ความเห็นว่า ปลาอาจจะตัวใหญ่และอายุมากเกินไป ถ้าจะนำมาทำอาหารควรเลือกปลาน้ำหนักราว 3-4 กิโลกรัม น่าจะดีกว่าปลาตัวใหญ่
ส่วนวิธีการปรุงที่เหมาะสม แนะนำให้เตรียมเนื้อปลาด้วยวิธีบรายน์นิ่ง (brining) เพื่อให้เนื้อนุ่มลง และหมักเครื่องเทศให้นานขึ้น แต่ถ้าไม่เตรียมแบบนี้ อีกทางเลือกที่น่าสนใจอาจเป็นการแล่เนื้อปลาบาง ๆ แล้วใช้วิธีลวกแบบชาบูแทน
สามวันถัดมา เชฟเช้าที่ขอนำเนื้อปลาคู้บางส่วนกลับไป โทร.ตามเราให้มาชิมปลาคู้ที่ปรุงขึ้นด้วยสูตรใหม่ ครั้งนี้เนื้อปลาได้น้ำเกลือจากวิธีบรายน์นิ่งช่วยคลายเส้นใยกล้ามเนื้อ แล้วนำไปหมักมิโสะจนเข้าที่ เมื่อย่างจนสุก ใยกล้ามเนื้อก็คลายออกเป็นลิ่ม ๆ คล้ายปลาทะเลเนื้อขาวที่มีไขมันมาก ยิ่งโรยงาขาวคั่วลงไปด้วยก็ยิ่งเพิ่มกลิ่นหอมขึ้นไปอีก
เมื่อหวนนึกถึงประสบการณ์นี้อีกครั้ง ความพยายามลองผิดลองถูกที่จะหาทางปรุงวัตถุดิบแปลกใหม่ให้อร่อยได้สำเร็จ ก็น่าจะนับเป็น “วิธีปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น” ได้ประการหนึ่งเช่นกัน เหมือนในอดีตอันไกลโพ้นก่อนที่มะละกอจะกลายเป็นส้มตำ และตาลโตนดจะเป็นขนมตาลอย่างทุกวันนี้
เรื่อง สิริพรรณี สุปรัชญา
ภาพถ่าย กฤตนันท์ ตันตราภรณ์
อ่านเพิ่มเติม : อัปเดต “อีกัวน่าเขียว” เขาพระยาเดินธง ลพบุรี
ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นซึ่งยึดครองพื้นที่มานานกว่า 2 ทศวรรษ
