ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ ถอดทักษะ Climate Adaptation ปรับตัวอย่างไรเมื่อเศรษฐกิจปั่นป่วนเพราะโลกไม่เหมือนเดิม

ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ ถอดทักษะ Climate Adaptation ปรับตัวอย่างไรเมื่อเศรษฐกิจปั่นป่วนเพราะโลกไม่เหมือนเดิม

 ดร.กรรณิการ์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิบายถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเปรียบเสมือนการปรับวิถีชีวิตเพื่อให้อยู่รอดในอนาคต

ในวันที่เรากำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) คำหนึ่งที่เรามักได้ยินกันเสมอคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในอนาคต

ในขณะเดียวกันอีกหนึ่งเรื่องที่พูดถึงบ่อยในบริบทใกล้เคียงกันคือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (Adaptation) ซึ่งเปรียบเสมือนการปรับวิถีชีวิตเพื่อให้อยู่รอดในอนาคตที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ นั่นเพราะเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ย่อมส่งผลกระทบถึงมิติทางเศรษฐกิจด้วย

“สิ่งนี้กระทบต่อการทำมาหากินส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์และรายได้ จากที่เคยเพาะปลูกมีผลผลิตได้มากก็น้อยลงกว่าเดิม  การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นสิ่งที่ควรขับเคลื่อนทุกระดับทั้งระดับประชาชน ธุรกิจ องค์กร เพื่อให้ภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบกับเราน้อยที่สุด” ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิบาย

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจและรายได้ของผู้คนอย่างไร และการเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอะไรบ้าง? และจากประสบการณ์ลงพื้นที่ทำวิจัยมีอะไรบ้างที่ชุมชนไทยต้องรู้ในวันที่เรากำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงนี้ ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ

ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

Climate Adaptation หรือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคืออะไร?

คือการดำเนินการที่ทำให้มนุษย์ ระบบเศรษฐกิจ และสังคมสามารถอยู่ร่วมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งสิ่งที่ทำล้วนมีเป้าหมายเพื่อลดความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุรุนแรง หรือการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ค่อยเป็นค่อยไป (slow onset events) เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ ฯลฯ

ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราจึงต้องหาวิธีที่จะอยู่กับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ได้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิต เงินในกระเป๋า และการดำรงอยู่ในระบบต่างๆ นั่นหมายความว่าเรามี  Resilience หรือภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หรืออธิบายง่ายๆว่า เราจะปรับ หรือทำอย่างไรดีให้สามารถอยู่ได้ภายใต้สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงโดยที่กระทบการการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของเราน้อยที่สุด

แผนที่แสดงความเสี่ยงทางกายภาพของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ข้อมูลจากบทความ ‘ระบบการเงินไทยภายใต้สภาวะโลกรวน’ โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยระหว่างปี 1951–2021 ที่มา: Office of Natural Resources and Environmental Policy and Planning (2022) รวบรวมโดยกลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชื่อมโยงกับเรื่องเศรษฐศาสตร์อย่างไร?

เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อการประกอบอาชีพอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับประเทศที่พึ่งพาเกษตรกรรม ตัวอย่างการที่ ภัยแล้ง น้ำท่วม พายุ ส่งผลต่อการผลิตสินค้าเกษตรและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chains) ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง นำมาซึ่งราคาสินค้าประเภทอาหารที่สูงขึ้น  กระทบต่อต้นทุนของธุรกิจที่ใช้สินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ และทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้น จากราคาอาหารที่สูงขึ้น

แนวคิดของการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เราเน้นย้ำคือ การปรับเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจ สังคม การดำเนินชีวิต การอยู่อาศัย มีความยืดหยุ่น ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากจนเกินไป

เงินในกระเป๋าของประชาชนไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สามารถดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับที่เป็นอยู่ ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โลกรวน หรือโลกเดือดอยู่  สิ่งนี้คือไอเดียหลัก ควบคู่ไปกับการชะลอไม่ให้ climate change รุนแรงไปมากกว่านี้

ที่ผ่านมาลงไปสื่อสาร และพัฒนาความสามารถในการปรับตัวให้กับคนกลุ่มไหนบ้าง อย่างไร?

เน้นไปที่ภาคการเกษตรก่อน เพราะเราเชื่อว่าภาคเกษตรเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูง เนื่องด้วยการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำประมง การเลี้ยงสัตว์น้ำ ต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เหมาะสม เมื่ออากาศแปรปรวน หรืออากาศเปลี่ยน ผลผลิตทางการเกษตรก็จะลดลงไปได้ เราจึงคิดว่ากลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มแรกที่ควรเร่งสื่อสารและสร้างความตระหนักรู้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศสำคัญกับอาชีพเขาอย่างไร

แน่นอนว่า เมื่อต้องไปสื่อสารในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะเขามองว่าน้ำท่วม ฝนแล้ง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว มันไม่เกี่ยวกับอะไรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เขาไม่เข้าใจว่า สิ่งที่เราเผชิญในปัจจุบันมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร ดังนั้น สิ่งที่เราเน้นสื่อสารให้กับเกษตรกรคือการแสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงกว่าในอดีต เช่น ฝนตกนานขึ้น ตกหนักขึ้น แล้งนานขึ้น มีน้ำท่วมรุนแรง มีระยะเวลายาวนานขึ้น อีกทั้งเผชิญกับอากาศร้อนจัดหรือคลื่นความร้อนมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น เราวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตจากแบบจำลองภูมิอากาศภายใต้ฉากทัศน์ต่าง ๆ โดยตั้งคำถามว่า ภายใต้แต่ละฉากทัศน์ การประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิตของเราจะกระทบอย่างไร และจะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศในอนาคต

มีเทคนิคอะไรในการสื่อสารกับกลุ่มเกษตรกร?

เพื่อย่อยเนื้อหายาก ๆ เกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้สื่อสารเข้าใจได้ง่ายขึ้น สามารถลองประยุกต์ใช้กิจกรรมหลายรูปแบบ เช่น การสื่อสารผ่านเกมซึ่งสามารถสอดแทรกแนวคิดเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศได้ เพื่อให้เห็นภาพว่าถ้าไม่ทำอะไรเลย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากศจะกระทบผลตอบแทนมากขึ้นเรื่อย ๆ  และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนเปลงสภาพภูมิอากาศจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้อย่างไร

ความยากในการเอาเรื่องหนักๆ อย่างการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปบอกกับประชาชนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้มาก่อนคืออะไร?

อุปสรรคคือเรื่องประสบการณ์เดิมที่เขามีอยู่แล้ว และเขามองว่าสิ่งที่ทำคือการปรับตัวแล้ว  และยังมีนโยบายภาครัฐที่โอบอุ้มอยู่ ทำให้คนไม่กล้าจะออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เกษตรกรบางกลุ่มมองว่า หากต้องปรับใหญ่ เช่น ปรับเปลี่ยนพืชที่เพาะปลูกให้ทนแล้ง ทนท่วมได้มากขึ้น ฯลฯ อาจไม่คุ้มค่า เนื่องจากหากไม่ทำอะไรเลย เกษตรกรก็ได้รับเงินชดเชยและเงินอุดหนุนจากรัฐอยู่แล้ว

เช่น ที่ จ.อยุธยา ชาวบ้านคิดว่า เมื่อน้ำท่วม เขาดีดบ้านให้สูงขึ้นเหนือระดับน้ำก็คิดว่าพอแล้ว แต่นั่นเป็นความเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่การประกอบอาชีพยังไม่มี จะมีก็แต่การเลื่อนปฏิทินเพาะปลูกบ้างเท่านั้นซึ่งยังไม่เพียงพอ

เราแก้เกม หรือโน้มน้าวความคิดแบบนี้อย่างไร?

สื่อสารและอธิบายให้เกษตรกรเข้าใจว่า กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ข้าว อ้อย มัน ยางพารา เมื่ออุณหภูมิหรือปริมาณน้ำฝนเปลี่ยนผลผลิตจะน้อยลงจริงๆ ทุกคนรับรู้ได้ นอกจากนี้ ยังนำแนวคิดเรื่องต้นทุนและผลประโยชน์มาสื่อสารกับเกษตรกรด้วย เพื่อชักจูงและแสดงความมั่นใจถึงผลผลิตที่พวกจะได้รับ สร้างทางเลือกใหม่ ๆ ให้เกษตรกรเห็นถึงรายได้ที่ไม่ต่างจากเดิมและอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต มีการคำนวณเป็นต้นทุนผลกำไรให้เลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากในการจูงใจให้เกษตรกรกล้าลองแนวทางใหม่ๆ เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากนั้นเรามองถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถเกิดขึ้นได้จริง เช่น การหาตลอดรองรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ผลิตขึ้นมาใหม่ การสอนวิธีทำการตลาดให้ เราสอนเขาคิดตั้งแต่ต้นจนจบ มองหาลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย และใช้หลายศาสตร์เพื่อทำให้เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความมั่นใจว่าปรับแล้วทำให้รายได้ดีขึ้น และดีต่อไปในอนาคต

มี Case study ที่ไหนบ้าง ที่อยากแชร์ถึงความคืบหน้าในการสร้างทักษะการปรับตัว?

ที่เห็นรูปธรรมเช่น แหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี  ที่ชุมชนปากน้ำประแส ระยอง ทั้งสองเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีรายได้จากการชมธรรมชาติ ล่องเรือ ดูวาฬ ซึ่งทั้ง 2 ชุมชนต่างพบว่า แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ตารางกิจกรรมการท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม

วิธีที่ใช้คือเอาแนวคิดเรื่อง Adaptation ไปใช้ เพื่อไม่ให้แพ็คเกจท่องเที่ยว ที่ขายการท่องเที่ยวที่เน้นแต่ปัจจัยที่ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศอย่างเดียว ซึ่งกระบวนการนำมาสู่การคิดฐานกิจกรรมในการทำศิลปวัฒนธรรมมาช่วย เอาความร่วมมือกับคนในชุมชนเพื่อค้นหาทรัพยกรในพื้นที่ นำมาซึ่งการปรับตัว กระทั่ง กลุ่มดูวาฬในแต่ละคณะจะมีกรุ๊ป Line เชื่อมโยงกัน ร่วมกันประเมินสถานการณ์ว่าวันนี้วาฬจะขึ้น ณ ตรงจุดไหน เปลี่ยนจากคู่แข่งเป็นคนในอุตสาหกรรมที่ช่วยพึ่งพาซึ่งกันและกัน

หรือคนที่ไปที่ภาคเหนือ เช่น  จ. เชียงราย จ. เชียงใหม่ ความคาดหวังคืออากาศที่หนาวเย็น การชมทะเลหมอก ซึ่งเมื่อในอนาคตอากาศมีแนวโน้มอุ่นขึ้นและฤดูหนาวสั้นลง นำไปสู่การคุยกับผู้ประกอบการเพื่อนำเสนอแนวคิดการหาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น Man-made Destination แล้วถ้าทำได้จะทำที่ไหน ช่วงเดือนไหนดี วิธีคิดนี้ มันมีเหตุผลรองรับ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่อยู่ในกรอบแบบเดิมๆ

พอยกตัวอย่างได้ไหมว่า สำหรับในชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว พวกเขาปรับตัวได้อย่างไรบ้าง?

ยกตัวอย่างการท่องเที่ยวของ จ .เชียงราย เราเสนอให้การท่องเที่ยวของจ.เชียงรายผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy) ซึ่งปรุงจากวัตถุดิบในท้องถิ่นในแต่ละฤดูกาล การเสนอเชียงรายให้เป็นเมืองดอกไม้ ไม่ใช่ดอกไม้เดียวกันตลอดทั้งปี แต่เรามองเห็นความได้เปรียบของสถานที่ซึ่งสามารถคัดเลือกพันธุ์ดอกไม้ได้มาก และแต่ละช่วงเวลาสามารถชมดอกไม้ในแต่ละสายพันธ์ที่แตกต่างกัน และทำปฏิทินการท่องเที่ยวในแต่ละเดือนว่ามีอาหารและแหล่งท่องเที่ยวประจำถิ่นและฤดูกาลอะไรบ้าง เพื่อสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้ทราบ

ในเรื่องการปรับตัวของชุมชนต่างๆ ทั่วโลกมีกรณีศึกษาที่พอจะเป็นต้นแบบได้ไหม?

ถ้าเป็นเรื่อง Adaptation มีหลายเมืองที่ทำ มีทั้งที่สำเร็จและยัง เช่น สกีรีสอร์ทในประเทศแถบยุโรป เจออากาศที่อุ่นขึ้น จนหิมะละลาย สิ่งที่เขาใช้คือการผสมผสานเอาเทคโนโลยีผลิตหิมะเทียมเข้ามา เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่อย่างน้อยก็ยังได้เล่นสกี และเริ่มมีวิธีใหม่ๆ เพื่อดึงดูดคนที่ไม่เล่นสกี เช่น บ่อน้ำร้อนออนเซ็น และจุดถ่ายรูปใหม่ๆ

กลุ่มที่สอง กลุ่มที่เป็นเมืองเกาะขนาดเล็ก  ประเทศเหล่านี้รู้ว่าเจอปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุรุนแรง สิ่งที่พยายามปรับเปลี่ยนคือเอาเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อที่จะย้ายผู้คนจากริมฝั่งเอามาในเมือง โดยการสร้างชุมชนแนวสูง หากิจกรรมอื่นๆมาสอดแทรก

หรือกลุ่มในประเทศยุโรป  เช่น ในสเปน พวกเขาเจอปัญหาขาดแคลนน้ำ วิธีการคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเอารถขนน้ำมาบริการ และใช้เอาเทคโนโลยีการกลั่นน้ำทะเลเป็นน้ำจืดมาใช้  ใช้การรีไซเคิลน้ำเพื่อทำกิจกรรม และสอดแทรกแนวคิดการประหยัดน้ำทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว เพื่อให้ทุกคนบนเกาะอยู่ด้วยภาวะน้ำขาดแคลนที่เกิดขึ้นได้

การแก้ปัญหาในแนวคิด Adaptation คือการผสมผสานทั้งรูปแบบธรรมชาติและมาตรการเชิงโครงสร้าง แต่เอาเอกลักษณะเด่นขึ้นมา?

ใช่ เป็นการเชื้อเชิญให้นำมาสู่การคิดใหม่ (Re-think) ซึ่งนับเฉพาะที่ประเทศไทยก็มีหลายแห่งที่เป็นความท้าทาย เช่น ภูเก็ต ซึ่งเคยเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่เมื่อเร็วๆนี้ก็เจอกับน้ำท่วม ซึ่งต้องเร่งหาวิธีการปรับตัว

ความรู้และทักษะในเรื่องการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) มีอะไรบ้าง?

ถ้าในด้านนโยบาย เรามองถึงการมีมาตรการที่ช่วยให้วิถีชีวิตของผู้คนมีความยืดหยุ่น เช่น การปลูกพืชที่มีความหลากหลายและทนทานต่อสภาวะแห้งแล้ง การยกระดับการเก็บและการใช้น้ำ , การจัดการพื้นดินและลดความเสี่ยงด้านไฟป่า , การสร้างเกราะป้องการที่แข็งแกร่งในการรับมือสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว การพัฒนาระบบข้อมูลสภาพภูมิอากาศและระบบเตือนภัยล่วงหน้า ซึ่งมาตรการด้านการปรับตัวควรเกิดขึ้นทั้งในระดับชุมชนไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือตัวเมือง ตลอดจนระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นองค์ความรู้ที่จะมาช่วยให้สิ่งเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติจริงจึงเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญมาก เรามองถึงการสอนตั้งแต่ในระดับ อนุบาล ประถม มัธยม เอาเรื่องนี้เข้าไปในวิชาวิทยาศาสตร์ หรือสังคมเพื่อเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น เชื่อมต่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ทำให้เห็นว่า อากาศ ที่เป็นอยู่ส่งผลกับครอบครัว ต่ออาชีพอย่างไร

ทักษะที่สำคัญในเรื่องนี้ คือการเข้าใจ รู้จักในการวิเคราะห์ว่าตัวเอง ครอบครัว หน้าที่การงานได้รับผลกระทบอะไรกับ climate change บ้าง แน่นอนว่าเราไม่ได้สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้นทุกหัวข้อ เช่น สำหรับคนไทยอาจไม่ได้อินเรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย แต่สิ่งสำคัญในการที่จะให้ตระหนัก ต้องเลือกปัจจัยด้านอากาศที่กระทบความาเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ และเมื่อไรที่เรารู้ว่ากระทบอย่างไร เมื่อนั้นเราจะมีจุด Trigger ที่เห็นความจำเป็นว่าต้องทำอะไรหลายอย่าง

เรื่อง : อรรถภูมิ อองกุลนะ

ภาพ : ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู 


อ่านเพิ่มเติม : มหาสมุทรจะฟื้นตัว ความหวังของ Sir David Attenborough นักทำสารคดีวัย 99 ปี ชายผู้หลงรักโลกใต้ทะเล

Recommend