ฟัง ผศ. ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการใหญ่ มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) เล่าถึงการเดินทางโครงการแลกเปลี่ยนที่มีอายุยาวนาน 63 ปี และเป็นโครงการที่สร้างทักษะพลเมืองโลกให้กับนักเรียนไทย

ย้อนเวลาไปเมื่อ 30 ปีก่อน การได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเพื่อเดินทางและไปศึกษาต่างประเทศน่าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตนักเรียนคนหนึ่ง ไหนจะเรื่องภาษา การเรียน วีถีชีวิต และอีก ฯลฯ ทำให้การเดินทางไปเรียนที่ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นเรื่อง ‘ใหญ่’ และ ‘ใหม่’ มาก
“ผมจำได้ว่าตอนนั้นได้ไปประเทศอิตาลี ไปอยู่เมืองเล็กๆ ในตูริน ใช้ภาษาอิตาเลียน สื่อสารทั้งหมด หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นถึงขนาดมาสัมภาษณ์ผมซึ่งเป็นนักเรียนไทย ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คนที่มาจากสวีเดนและเม็กซิโก เพราะการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปอยู่ในโรงเรียนท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในยุคนั้น คนที่ไปก็ตื่นเต้น ชุมชนที่เราไปอยู่ก็อยากรู้จักเรา” ผศ. ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการใหญ่ มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) เล่าประสบการณ์ตรงเมื่อ 30 ปีก่อน
นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไม่มีสิทธิพิเศษ
ความทรงจำในวันนั้นจนถึงปัจจุบัน เอเอฟเอส ยังคงเป็นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนานาชาติที่มีเครือข่ายนักเรียนแลกเปลี่ยนและเครือข่ายอาสาสมัครมากที่สุดในโลก เอเอฟเอส ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นนับแต่ปี 2505 และตลอด 63 ปี ประเทศไทยได้มีนักเรียนผ่านโครงการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม กว่า 28,000 คน มีอาสาสมัครที่เป็นครูจากโรงเรียนทั่วประเทศสนับสนุนมากกว่า 3,000 คน มีพาร์ทเนอร์กว่า 60 ประเทศทั่วโลกที่ยังคงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่อเนื่อง และในปี 2560 เอเอฟเอส ประเทศไทย ก็เพิ่งได้รับรางวัล Best Partner Award จาก China Education Association For International Exchange (CEAIE) ซึ่งหมายถึงการเป็นพันธมิตรที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างประเทศ
“การที่ได้รับคัดเลือกเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของ เอเอฟเอส ไม่ได้หมายความว่า คุณจะได้เข้าไปเรียนภาษาอังกฤษในหลักสูตรนานาชาติ ได้ไปเที่ยวในสถานที่สำคัญ แต่คุณจะร่วมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนนั้น ได้เรียนรู้วิถีชีวิต วิธีคิด วัฒนธรรมผ่านการมีส่วนร่วมจริงๆ” ดร.วัชรพจน์ ในฐานะนักเรียนเก่ารุ่น 35 บอกว่า เมื่อเป้าหมายของการเดินทางมากกว่าแค่เรื่องภาษา มากกว่าครึ่งของนักเรียนไทยจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในโรงเรียนรัฐที่เครือข่ายประเทศอุปถัมภ์ได้คัดสรรและประสานงานไว้ให้ การเดินทางไปแลกเปลี่ยนจึงไม่ใช่แค่ประเทศทวีปอเมริกาหรือยุโรปอย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็นประเทศอย่าง ชิลี คอสตาริกา ฮอนดูรัส ซึ่งใช้สแปนิชเป็นภาษากลาง รวมถึงประเทศที่ใช้ภาษาอื่นๆ อย่าง ภาษาฝรั่งเศส ภาษาโปรตุเกส
ท่ามกลางหลากหลายของโครงการที่ส่งเสริมให้นักเรียนไทยไปแสวงหาประสบการณ์ในต่างประเทศ เอเอฟเอสน่าจะเป็นไม่กี่โครงการที่ไม่ได้มองถึงเป้าหมายแค่เรื่องการเรียนอย่างเดียว แต่คือการไปพัฒนาทักษะชีวิต การค้นพบตนเอง ไปเข้าใจบริบทของแต่ละเมืองที่เราไปใช้ชีวิตอยู่ 1 ปีเต็ม
“เมื่อเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่กับ Host family มีพี่น้องในบ้านเดียวกัน นั่นหมายความว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขา เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และถ้าครอบครัวนั้นปฏิบัติกับลูกหลานอย่างไร เขาก็จะปฏิบัติกับเราอย่างนั้น ไม่ได้มีการบริการที่เป็นสิทธิพิเศษ”
กิจวัตรประจำวันของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไปใช้ชีวิตเสมือนสมาชิกคนหนึ่งในชุมชน จึงเริ่มตั้งแต่ตื่นเช้าไปโรงเรียน กลับมาและทำกิจกรรมไม่ต่างอะไรกับการเป็นพลเมืองธรรมดาคนหนึ่ง ที่เพิ่มเติม คือ ในแต่ละเดือนจะมีการเยี่ยมเยียนจากที่ปรึกษาซึ่งเป็นอาสาสมัครของเอเอฟเอส ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ว่าวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ยังราบรื่นดีหรือไม่
“หากได้รับแจ้งปัญหาจากนักเรียนอาสาสมัครมของเอเอฟเอส ที่อยู่ในทุกเมืองนั้นๆ จะเข้าไปดูแลทันที บางปัญหาสามารถพูดคุยกันได้ เช่น นักเรียนบางคนอาจเจอ Culture Shock ที่เกิดจากความต่างทางวัฒนธรรม นักเรียนบางคนจากประเทศฝั่งเอเชียอาจจะคุ้นเคยกับการมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่คุ้นชินกับการให้พึ่งพาตัวเองแบบประเทศตะวันตก อาสาสมัครก็จะทำความเข้าใจทั้งกับตัวนักเรียนและครอบครัวเพื่อหาทางออก แต่ก็มีบางกรณีที่ต้องรีบเอานักเรียนออกจากบ้านทันที เช่น หากถูก Harassment ที่กระทบกับเรื่องความปลอดภัย หรือสิทธิส่วนบุคคลอื่นๆ”

ทักษะการเป็นพลเมืองโลก
พฤษภาคมที่ผ่านมา เอเอฟเอส ประเทศไทย เพิ่งจัดงาน AFS OPEN HOUSE 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อตอบข้อสงสัยว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยน เปิดโอกาสให้ทดลองทำข้อสอบ รวมถึงพูดคุยกับพี่ๆ นักเรียนเก่าทั้งในเจนเนอเรชั่นเดียวกัน และรุ่นแรกๆ ก่อนหน้าไปไกล ซึ่งมีไม่น้อยที่ขณะนี้เป็นผู้บริหารองค์กรสำคัญ
แน่นอนว่าทักษะด้านภาษา การบริหาร รวมถึงทักษะชีวิตอื่นๆ ที่ทำให้แต่ละคนประสบความสำเร็จล้วนต้องเพาะบ่ม สะสมจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ถึงเช่นนั้นทักษะหนึ่งที่โครงการแลกเปลี่ยนเอเอฟเอส เป็นประหนึ่งสะพานเชื่อมให้กับนักเรียนไทย คือ ทักษะการเป็นพลเมืองโลก

ดร.วัชรพจน์ มองว่า ปัจจุบันเราอยู่ในห้วงเวลาที่ระเบียบโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ซับซ้อน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การเห็นข่าวผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องหนีตายจากสงครามในบ้านเกิด หรือแม้กระทั่งการมาของเชื้อไวรัสโควิด -19 เมื่อ 3-4 ปีก่อน ที่ยิ่งตอกย้ำว่าประเทศไทยกับโลกไม่ได้แยกขาดจากกัน
โปรแกรมของเอเอฟเอส จึงช่วยพัฒนาทักษะให้นักเรียนไทยได้ไปค้นพบ และค่อยๆ สร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า กรอบพัฒนาเยาวชนในศตวรรษที่ 21 ของเอเอฟเอส (AFS Framework for Active Global Citizenship) โดยได้กำหนดกรอบการพัฒนา “Active Global Citizenship” ซึ่งเป็นหัวใจของการออกแบบและดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมทุกประเภท ไว้ 4 มิติ ได้แก่
- รู้คุณค่าและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่หลากหลาย (Value & Belong to a Common and Diverse World) เยาวชนจะได้เรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในมนุษยชาติ ความหลากหลาย และความเป็นหนึ่งเดียวกับโลก พร้อมทั้งเข้าใจตนเองและอัตลักษณ์ของตนในบริบทวัฒนธรรมต่างๆ
- ตั้งคำถามและใฝ่รู้เกี่ยวกับโลกในเชิงลึก (Inquire Critically About the World) การมีวิจารณญาณ สื่อสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเข้าใจความเชื่อมโยงของปัญหาระดับท้องถิ่นและโลก เป็นหัวใจของพลเมืองโลกในยุคข้อมูลท่วมท้น
- เข้าใจและเชื่อมโยงกับผู้อื่นที่แตกต่าง (Understand and Relate Across Differences)
เยาวชนจะได้ฝึกการฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ เข้าใจมุมมองของผู้อื่น และสร้างสัมพันธ์ด้วยความเคารพ แม้ในบริบทที่มีความเชื่อหรือวิถีชีวิตต่างกันโดยสิ้นเชิง
- ลงมือปฏิบัติเพื่อความอยู่ดีของส่วนรวม (Take Action Toward Collective Well-being)
ทักษะสุดท้ายนี้คือหัวใจของความเป็น “พลเมืองโลกอย่างมีคุณค่า” เยาวชนจะตระหนักถึงพลังของตนในการร่วมแก้ปัญหา เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ผ่านการลงมือทำจริง ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และโลก
“ในการเดินทาง เข้าไปศึกษาความแตกต่าง สิ่งเหล่านี้ คือ หัวใจของมัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าระเบียบโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปล งคือ เราทุกคนยังต้องอาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกใบเดียวกัน เป้าหมายของการพัฒนาทักษะความเป็นพลเมืองโลกยังคงเป็นเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรม เท่าเทียม และยั่งยืนสำหรับทุกคน
สะพานเชื่อมคนไทยไปสากล
ถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า แม้เครือข่ายเอเอฟเอสที่มีกับประเทศไทย จะมีมากกว่า 60 ประเทศ แต่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับว่า ประเทศที่ได้รับความนิยมหนีไม่พ้นประเทศที่คนไทยคุ้นเคย เช่น สหรัฐอเมริกา สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น
“ประเทศในแถบ Southeast Asia เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือประเทศในเอเชียอย่างอินเดีย ไม่ค่อยถูกพูดถึง อาจเป็นเพราะมุมมองของคนไทยคิดว่าประเทศแถบนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับเรา ทุกๆ ปีการแข่งขันที่สูงจึงมักเป็นประเทศทางฝั่งอเมริกาหรือยุโรป กระทั่งในทวีปแอฟริกาก็มีเพียงประเทศเดียวที่คนไทยเลือก คือ แอฟริกาใต้ ซึ่งนักเรียนแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแอฟริกาใต้”
คงไม่แปลก หากใครจะคิดเช่นนั้น และ ดร.วัชรพจน์ ก็มองว่า การเลือกประเทศ คือ ความนิยมส่วนตัว แต่ถึงเช่นนั้นหัวใจหลักของการร่วมโครงการ คือ การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งและซึมซับวัฒนธรรมที่แตกต่างๆ ดังนั้น โครงการเอเอฟเอสในอนาคตจึงจะไม่จำกัดเฉพาะนักเรียนมัธยมปลายอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันได้ขยายไปยังระดับมัธยมต้น มหาวิทยาลัย รวมถึงคนทำงานที่อยากไปเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ
“ลองนึกดูว่ามีบัณฑิตวิศวกรรมคนหนึ่ง มีเป้าหมายที่อยากทำงานในบริษัทเทคโนโลยีของจีน คงจะดีไม่น้อยถ้าเขามีประสบการณ์ในการไปอยู่ในประเทศจีนก่อน สัก 1-3 เดือน เพื่อไปดูว่าวัฒนธรรมและวิธีคิดในการทำงานของที่นั่นเป็นอย่างไร เพื่อให้เขากลับมาพิจารณาว่าตัวเองเหมาะสมไหม”
ทุกวันนี้การเดินทางไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากแบบในอดีต การจัดสรรทุนของแต่ละองค์กรก็ล้วนแตกต่างกันไป แต่ถึงเช่นนั้นเอเอฟเอส ประเทศไทย ก็ยังเดินหน้าเป็นสะพานที่พาเด็กไทยเรียนรู้ความเป็นสากล เพื่อทักษะของการเป็นพลเมืองโลก ที่เป็นทักษะแห่งอนาคต
เป็นอนาคตไม่ใช่เพราะตลาดแรงงาน แต่เพราะอนาคตของโลกนี้ไม่มีเหมือนเดิม และทุกประเทศต่างเชื่อมร้อยต่อกันด้วยหน้าที่ของการเป็นพลเมืองโลกนั่นเอง
เรื่อง : อรรถภูมิ อองกุลนะ
ภาพ : อภินัยน์ ทรรศโนภาส