“คลื่นความร้อนในทะเลที่ทำลายสถิติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
และมีแนวโน้มจะ ‘เลวร้าย’ มากขึ้น
จนทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง”
มหาสมุทรเป็นผืนน้ำที่กว้างใหญ่และเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างแยกจากกันไม่ได้ โดยเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสนับสนุนชีวิตบนบกอีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับรูปแบบสภาพอากาศทั่วโลก ซึ่งในอดีตนั้นคลื่นความร้อนในทะเลไม่เกิดขึ้นบ่อยมากนัก และเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ารูปแบบดังกล่าวจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คลื่นความร้อนกำลังเกิดบ่อยครั้ง นานขึ้น และรุนแรงยิ่งกว่าเดิม นักวิทยาศาสตร์จากสมาคมชีววิทยาทางทะเลแห่งสหราชอาณาจักรร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ ทั่วโลกได้ชี้ว่า ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
“ยิ่งระบบนิเวศทางทะเลของเราได้รัลผลกระทบจากคลื่นความร้อนใต้ทะเลบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากขึ้นมากเท่านั้นที่ระบบนิเวศจะฟื้นตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้” ดร. เคธี สมิธ (Katie Smith) ผู้ช่วยวิจัยหลังปริญญาเอก และผู้เขียนหลักของรายงาน กล่าว “และเมื่อคลื่นความร้อนใต้ทะเลยังคงเพิ่มขึ้น เราก็มีแนวโน้มที่จะเห็นการสูญเสียสายพันธุ์และระบบนิเวศทางทะเลมากขึ้นทั่วโลก”
ตามการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Climate Change ทีมวิจัยได้เปิดเผยว่าในช่วงฤดูร้อนของปี 2023 และ 2024 ที่ผ่านมานั้นมีวันที่เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 240% เมื่อเทืยบกับสถิติเดิม
ภัยร้ายกระจายไปทั่ว
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ชีวิตต่าง ๆ ต้องดิ้นรนมากขึ้นทั้งในแนวปะการัง การประมง และชุมชนชายฝั่ง ในยุโรปนั้นคลื่นความร้อนในทะเลทำให้อุณหภูมิพื้นดินในหมู่เกาะอังกฤษสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทำให้ประชากรปลาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
แต่ที่เลวร้ายที่สุดปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้หอยชนิดหนึ่งที่ชื่อ ‘atrina fragilis’ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเกือบสูญพันธุ์ ประชากรนกทะเลในสก็อตแลนด์ได้รับผลกระทบเนื่องจากอาหารลดลง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็ประสบกับความสูญเสียเนื่องจากสาหร่ายทะเลสายพันธุ์อันตรายแพร่กระจายไปทั่ว
นอกจากนี้อุณหภูมิของมหาสมุทรขึ้นยังทำให้สัตว์ต่าง ๆ พากันอพยพไปยังทางเหนือมากขึ้น ไปจนถึงทำให้เกิดพายุแดเนียลซึ่งทำให้เกิดน้ำทั่วครั้งใหญ่ในกรีซ บัลแกเรีย และตุรเคีย พร้อมกันในนั้นมันก็ทำให้เกิดการหยุดชะงัดในวงกว้างตั้งแต่การอุตสาหกรรมประมง การอพยพของวาฬและโลมา รวมถึงปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ของโลกครั้งที่สี่
นักวิจัยระบุว่าในมุมมองของการสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่เคยพบปะการังทรุดโทรมขนาดเช่นนี้มาก่อนเลย แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าทั่วโลกจะไม่มีการเตรียมพร้อมใด ๆ ที่จะรับมือต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการจัดการกับสิ่งที่เป็นต้นเหตุนั่นคือ ก๊าซเรือนกระจก
มาตรการเร่งด่วน
แม้ว่าเอลนีโญจะทำให้คลื่นความร้อนในทะเลรุนแรงขึ้นในปี 2023-2024 แต่งานวิจัยหลายชิ้นก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากมนุษย์นั้นทำให้คลื่นความร้อนในทะเลเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในตั้งแต่ระหว่างปี 2011 ถึง 2021
และหากระดับการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลกับการตัดไม้ทำลายป่ายังคงดำเนินต่อไป คลื่นความร้อนในทะเลก็อาจเกิดบ่อยขึ้นอีก 20 ถึง 50 เท่า และจะรุนแรงขึ้น 10 เท่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ เพื่อปกป้องระบบนิเวศในมหาสมุทรและชุมชนชายฝั่ง การเปลี่ยนจากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซมาเป็นพลังงานหมุนเวียนจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย
“ท้ายที่สุดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นความร้อนในทะเลและผลกระทบจากคลื่นความร้อนนั้นเลวร้ายลง เราจะเป็นต้องลดหรือหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล” ดร. สมิธ กล่าว “ในระหว่างนี้การเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นความร้อนในทะเล และการแทรกแซงเพื่อลดการสูญเสียสายพันธุ์นั้นได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จบางประการ แต่ก็ยังไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถาวร”
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ท้ายที่สุดแล้วทุกการเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างผลกระทบได้ตั้งแต่นโยบายของภาครัฐ ความพยายามของภาคเอกชน และการสนับสนุนของบุคคลทั่วไป ต่างก็จะสามารถสร้างความแตกต่างได้ในวันที่มหาสมุทรของเรากำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา