ข้อมูลจากดาวเทียมยืนยัน โลกกำลังเข้าสู่ยุคขาดแคลนน้ำจืด

ข้อมูลจากดาวเทียมยืนยัน โลกกำลังเข้าสู่ยุคขาดแคลนน้ำจืด

“โลกกำลังแห้งแล้งในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ข้อมูลดาวเทียมระยะยาวเผยให้เห็นว่าแหล่งน้ำจืดของโลก

กำลังหายไปอย่างน่าตกใจ”

ท่ามกลางอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นแทบจะทุกวัน น้ำจึงกลายเป็นสิ่งมีค่าขึ้นมาเพื่อใช้ในการอุปโภคและบริโภคซึ่งเราต่างใช้ทรัพยากรประเภทนี้ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ข้อมูลดาวเทียมที่ติดตามมาเป็นเวลา 2 ทศวรรษเผยให้เห็นว่า น้ำจืดอาจหายไปในเร็ว ๆ นี้จากทะเลสาบ แม่น้ำ และชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน 

ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Science Advances ระบุว่า พื้นที่แห้งแล้งบนบกกำลังขยายตัวในอัตราประมาณ 1.65 เท่าของประเทศไทยทุกปี โดยกำลังแซงหน้าพื้นที่ชื้นชุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการพลิกกลับรูปแบบอุทกวิทยาที่มีมาอย่างยาวนาน 

ผลกระทบนี้ทำให้ร้อยละ 75 ของประชากรโลกที่อาศัยอยู่ใน 101 ประเทศของซีกโลกเหนือ สูญเสียน้ำจืดมาตลอด 22 ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนที่หายไปราว 68 เปอร์เซ็นเป็นของน้ำใต้ดินเพียงอย่างเดียว สหประชาชาติคาดว่าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีก 50-60 ปีข้างหน้า 

“ผลการวิจัยเหล่านี้อาจส่งสัญญาณที่น่าตกใจที่สุดเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศต่อทรัพยากรน้ำของเรา” เจย์ ฟามิเกลียตติ (Jay Famiglietti) หัวหน้าทีมวิจัยและศาสตราจารย์ด้านอนาคตโลก จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอร์โซนา กล่าว

“ทวีปต่าง ๆ กำลังแห้งแล้ง น้ำจืดมีปริมาณลดลง และระดับน้ำทะเลก็กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลกระทบจากการใช้น้ำใต้ดินมากเกินไปอย่างต่อเนื่องนี้ อาจบั่นทอนความมั่นคงทางอาหารและน้ำของผู้คนหลายพันคนทั่วโลก” เขาเสริม “นี่คือช่วงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เราต้องการการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อความมั่นคงทางน้ำทั่วโลก” 

จุดเปลี่ยนของจุดเริ่มต้นหายนะ

ทีมวิจัยได้ตรวจสอบข้อมูลระยะยาวจากดาวเทียมในภารกิจ ‘ฟิ้นฟูแรงโน้มถ่วงและการทดลองสภาพภูมิอากาศ’ (Gravity Recovery and Climate Experiment; GRACE) จากความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี เพื่อศึกษาว่าการกักเก็บน้ำบนบกมีการเปลี่ยนปลงไปอย่างไรบ้าง 

ผลลัพธ์นั้นน่าตกใจ พวกเขาพบว่าในปี 2014-2015 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘เมกะเอลนีโญ’ นั้น สภาพอากาศสุดขั้วเริ่มเร่งตัวขึ้น ทำให้มนุษย์หันไปใช้น้ำใต้ดินเพื่อดำรงชีวิตมากขึ้น และภาวะแห้งแล้งของทวีปสูงกว่าอัตราการละลายของทั้งธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็ง

“น่าตกใจมากที่เราสูญเสียน้ำที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ไปมากเพียงใด” หฤษีเกศ เอ. จันดันปุรการ์ (Hrishikesh A. Chandanpurkar) หนึ่งในทีมวิจัย กล่าว “ธารน้ำแข็งและน้ำใต้ดินชั้นลึกนั้นเป็นเหมือนกองทรัสต์แบบเก่า แทนที่จะใช้เฉพาะในยามจำเป็นเช่น ภัยแล้งที่ยาวนาน แต่เรากลับมองข้ามมันไป นอกจากนี้ เราก็ไม่ได้พยายามเติมน้ำใต้ดินคืนให้ระบบในช่วงปีที่มีฝนตกชุก ซึ่งทำให้กำลังเข้าใกล้ภาวะล้มละลายของแหล่งน้ำจืดในเร็ว ๆ นี้” 

หลังจากปี 2014 เป็นต้นมา พื้นที่แห้งแล้งส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ในซีกโลกใต้ก็ได้เปลี่ยนเเป็นซีกโลกเหนือมากกว่า โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะแห้งแล้งของทวีปคือ ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในละติจูดกลางเช่น ยุโปร ขณะเดียวกันในแคนาดาและรัสเซียก็มี หิมะ น้ำแข็ง และชั้นดินเยือกแข็งถาวรละลายเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำใต้ดินลดลงอย่างต่อเนื่อง

สิ่งเหล่านี้ต่างเชื่อมโยงการแห้งแล้งระดับทวีปขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งได้แก่ อเมริกาเหนือตะวันตกเฉียงใตและอเมริกากลาง, อะแลสกาและแคนาดาตอนเหนือ, รัสเซียตอนเหนือ และ ตะวันออกกลาง-แอฟริกาเหนือ (MENA) ขณะที่มีเพียงเขตร้อนเท่านั้นที่ยังคงมี ‘ความชุ่มชื้น’ เฉลี่ยตามละติจูด 

“การศึกษานี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การสังเกตการณ์ตัวแปรต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเช่น ปริมาณน้ำบนบก มีความสำคัญอย่างยิ่ง” จันดันปุรการ์ กล่าว “บันทึกของ GRACE กำลังก้าวไปไกลถึงขั้นที่เราสามารถมองเห็นแนวโน้มระยะยาวจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศได้อย่างชัดเจน การสังเกตการณ์ในพื้นที่จริง และการแบ่งปันข้อมูลมากขึ้นจะช่วยสนับสนุนการแยกส่วนนี้และนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำ” 

คำเรียกร้อง 

นับเป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับภาวะแห้งแล้งของทวีปในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งกำลังขยายตัวราว 800,000 ตารางกิโลเมตรต่อปี หรือประมาณ 1.65 เท่าของพื้นที่ประเทศไทย (513,120 ตารางกิโลเมตร)

‘ภัยผิดธรรมชาติ’ นี้กำลังคุกคามการเกษตรกรรม ความมั่นคงทางอาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งน้ำจืด และเสถียรภาพของโลก ดังนั้นทีมวิจัยจึงต้องการเน้นย้ำให้ทราบถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อให้มีแนวทางการจัดการน้ำอย่างเหมาะสม

“งานวิจัยนี้มีความสำคัญยิ่ง มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราจำเป็นต้องมีนโยบายและกลยุทธ์การจัดการน้ำใต้ดินใหม่ ๆ ในระดับโลกอย่างเร่งด่วน” ฟามิเกลียตติ กล่าว “แม้ว่าความพยายามในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจะเผชิญกับความท้าทาย” 

“แต่เราก็สามารถจัดการกับภาวะแห้งแล้งของทวีปได้ด้วยการนำนโยบายใหม่ ๆ เกี่ยวกับความยั่งยืนของน้ำใต้ดิน ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และช่วยอนุรักษ์น้ำไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป” 

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.science.org

https://www.space.com

https://www.newscientist.com


อ่านเพิ่มเติม : มลพิษจากการปล่อยจรวจ

ภัยเงียบที่กำลังทายชั้นโอโซน

Recommend