“เดือนกรกฎาคม 2025 ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์
รายงานใหม่ที่เผยแพร่โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO)
ชี้ให้เห็นว่าความร้อนจัดกำลังทำลายสถิติทั่วโลก
ขณะที่ไฟป่าและคุณภาพอากาศแย่ ๆ ต่างก็ซ้ำเติมวิกฤตนี้ให้เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม”
ตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2019 มีผู้เสียชีวิตจากอุณหภูมิสุดขั้วไปแล้วกว่า 489,000 รายต่อปี โดยร้อยละ 36 เกิดขึ้นในยุโรป และอีก 45 เปอร์เซ็นเกิดขึ้นในเอเชีย
หากคุณรู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมาอากาศร้อนเกินไปรึเปล่า คุณไม่ได้คิดไปเอง เมื่อซีกโลกเหนือเข้าสู่ฤดูร้อน ประเทศส่วนใหญ่ก็มีอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และประชาชนหลายล้านคนก็ได้รับคำเตือนเกี่ยวกับความร้อน พร้อมกับการพยากรณ์อากาศว่าจะมีคลื่นความร้อนมากกว่านี้
ทำให้เดือนกรกฎาคมปี 2025 กลายเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการบันทึกกันมา ตามข้อมูลของหน่วยงานบริการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโคเปอร์นิคัสแห่งยุโรป (Copernicus Climate Change Service) เผยให้เห็นว่าอุณหภูมิทั่วโลกในเดือนที่แล้วอยู่ที่ 16.68 องศาเซลเซียส (°C) เป็นรองแค่เดือนกรกฎาคมปี 2023 และ ปี 2024 เดือนเดียวกัน
นอกจากนี้ อุณหภูมิยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.25°C ซึ่งถือเป็นเดือนที่สี่ในรอบ 25 เดือนหลังสุด ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าวน้อยกว่า 1.5°C และเมื่อพิจารณารวมกัน 12 เดือนที่ผ่านมา อุณหภูมิก็ยังคงสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.53°C
“2 ปีหลังจากเดือนกรกฎาคมที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ สถิติอุณหภูมิโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว – แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะหยุดลงในตอนนี้” คาร์โล บูออนเทมโป (Carlo Buontempo) ผู้อำนวยการสำนักงานบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสกล่าว
กลายเป็นปัญหาระดับโลก
หลายประเทศกำลังประสบปัญหาความร้อนจัดทั้งในทวีปอเมริกา แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ซึ่งในปีที่แล้ว (2024) ความร้อนที่ต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2024 ทำให้เกิดภัยแล้งยาวนาน จนเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
ในทำนองเดียวกันเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ความร้อนรุนแรงก็สร้างโศกนาฏกรรมในซาอุดิอาระเบีย เมื่อผู้คนกว่า 1,000 คนที่เข้าร่วมพิธีฮัจณ์ ซึ่งเป็นพิธีแสวงบุญของชาวมุสลิมที่มักกะฮ์ ก็ได้ล้มป่วยและเสียชีวิต เนื่องจากอุณหภูมิในมัสยิดแห่งเมกะสูงถึง 51.8°C
“เรายังคงเห็นผลกระทบของโลกที่ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องในเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นความร้อนจัดและอุทกภัยครั้งใหญ่ในเดือนกรกฎาคม” บูออนเทมโป กล่าว “หากเราไม่สามารถรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศให้คงที่ได้อย่างรวดเร็ว เราก็ไม่ควรคาดหวังว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ผลกระทบนั้นจะยิ่งเลวร้ายลง ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว”
ประเทศปากีสถานเองก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน โดยโรงพยาบาลในกรุงการาจีต้องทำงานหนักตลอดหลายสัปดาห์ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด มีไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง และขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่ อินเดีย ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านเองก็ต้องเผชิญกับอุณหภูมิประมาณสูง 48.9°C เป็นเวลาหลายวันในเดือนเมษายนและพฤษภาคม โดยที่ประชาชนหลายล้านคนไม่มีเครื่องปรับอากาศอยู่เลย
แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นเองก็ประกาศเตือนโรคลมแดดในกรุงโตเกียวเนื่องจากอุณหภูมิสูงกว่า 41.2°C เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่ประสบกับภาวะ “กลางคืนแบบเขตร้อน” ทำลายสถิติติดต่อกัน 22 วันในเดือนที่แล้ว ในยุโรป ฟินแลนด์ สวีเดน และนอร์เวย์ ต่างพบว่าอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 30°C ติดต่อกันหลายวัน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงผิดปกติสำหรับประเทศนอร์ดิก
“ภาวะโลกร้อนจะไม่หายไป และจะรุนแรงขึ้นอีกในหลายทศวรรษข้างหน้า” บียอร์น ซัมเซ็ต (Bjørn Samset) นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสภาพภูมิอากาศของนอร์เวย์ ซิเซโร กล่าว “ดังนั้นฤดูร้อนปี 2025 จึงเป็นเครื่องชี้วัดที่ชัดเจนถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น”
นี่ไม่ใช่ฤดูร้อน
แม้ว่าคลื่นความร้อนจะเป็นส่วนหนึ่งของสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติ แต่ความรุนแรงและขอบเขตของมันตั้งแต่ปี 2024 ก็ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่แค่ฤดูร้อน
การประเมินทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับชี้ว่า ความร้อนที่รุนแรงและยาวนานเช่นนี้ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันมากกว่า 2 ถึง 4 เท่า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์ เมื่อเทียบกับไม่มี ข้อสรุปนี้ถูกสนับสนุนโดยเหตุการณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาที่เกิดคลื่นความร้อนไปทั่ว แม้จะอยู่นอกฤดูร้อนก็ตาม
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.2°C เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม ตัวเลข 1-2°C นี้อาจไม่ทันสังเกตเห็นหากคุณเดินเข้าห้องที่แปลกไป แต่แค่เพียงเศษเสี้ยวของมันก็สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากต่อสภาพอากาศโลก
โดยในช่วงจุดสูงสุดของยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ที่หลายพื้นที่ของโลกอยู่ภายใต้น้ำแข็งหน้าหลายร้อยเมตร อุณหภูมิโลกตอนนั้นเย็นกว่าปัจจุบันเพียง 6°C ไม่ใช่หลายสิบองศา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เพียง 1.2°C ในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ามีวิธีแก้ไขมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานที่สะอาดกว่า และเทคโนโลด้านสิ่งแวดล้อมมากมายที่หลายบริษัทองค์กรกำลังพยายามผลักดันกันในหลายประเทศ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการร่วมแรงร่วมใจ
“มนุษยชาติสามารถทำอะไรได้มากมายเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนในอนาคต หากประเทศ บริษัท และประชาชนทั่วโลกลงมือปฏิบัติอย่างเร่งด่วน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างรวดเร็ว ก็สามารถช่วยหลีกเลี่ยงอนาคตที่อบอุ่นขึ้น”
“ซึ่งอาจรวมถึงคลื่นความร้อนและภัยแล้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น ขณะที่เดียวกันก็ให้ประโยชน์อื่น ๆ อีกเช่น การพัฒนาสุขภาพของประชาชน การสร้างงาน และการลดความเสี่ยงต่อระบบนิเวศ” แมทธิว บาร์โลว์ (Mathew Barlow) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ และ เจฟฟรีย์ บาซารา (Jeffrey Basara) ศาสตราจารย์ด้านอุตุนิยมวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ โลเวลล์ กล่าว
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา