ทุ่งนา ทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี และปลานับล้าน

ทุ่งนา ทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี และปลานับล้าน

“สายวันอาทิตย์ที่อากาศร้อนจัด เด็กและผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง

เดินทางฝ่าแสงแดดและลมร้อนจากเมืองกรุง

จนมาถึงที่ราบนาข้าวผืนใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา”

คนกลุ่มนี้แต่งตัวแปลกไปจากแลนด์สเคป หลายคนอยู่ในชุดว่ายน้ำรัดรูป ใส่ชุดแขนยาวขายาวทะมัดทะแมง ส่วนใหญ่ห้อยหน้ากากดำน้ำไว้ที่คอ เด็กตัวจิ๋วมีชูชีพสะท้อนแสงพร้อมกับแว่นตาว่ายน้ำสีสด มองไปก็คล้ายฉากในนิยายอวกาศสักเรื่อง

ตรงหน้าคนกลุ่มนี้คือถนนลูกรังสีแดงเลือดนก ซึ่งปกติเคยเป็นเส้นทางสัญจรตามท้องนาธรรมดา ๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกัน แต่วันนี้มันกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่เอ่อล้นมาจากคลองลำลางด้านข้าง กระแสน้ำไหลเอื่อย ต้นข้าวบางต้นยืนแช่ในน้ำเกือบมิดกอ แสดงถึงระดับน้ำที่เพิ่งเอ่อสูงขึ้นมาไม่นาน

ผู้ใหญ่และเด็กกลุ่มนั้นเดินลุยลงไปตามถนนที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นทางน้ำ ก่อนขยับแว่นตาดำน้ำให้กระชับ แล้วก้มลงมองลอดแว่นไปยังใต้ผืนน้ำที่พื้นถนนตรงหน้า แล้วเสียงอุทานก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน “ว้าว สวยจังเลย”

เด็กๆ ที่มาเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศทุ่งน้ำหลาก ได้ทดลองดำน้ำตื้นในแหล่งน้ำสุดวิเศษนี้      

ทุ่งน้ำหลาก สวรรค์ใต้น้ำของปลา (และของเรา)

กลางฤดูฝน เมื่อสายฝนเทลงบนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่อย่างต่อเนื่อง มวลน้ำจำนวนมหาศาลส่วนหนึ่งถูกดูดซึมเก็บเอาไว้ด้วยผืนดินในป่าดิบจนเต็มอิ่ม น้ำอีกส่วนที่มากเกินกว่าจะเก็บกักไว้ได้ก็จะไหลบ่าลงมาทั้งทางบนผิวดินและทางน้ำใต้ดิน หลากไหลตามระดับความสูงลงมายังที่ราบต่ำแห่งลุ่มน้ำบางปะกง บางส่วนถูกเรากักไว้ใช้ในฤดูแล้งที่เขื่อนขุนด่านฯ แต่ส่วนที่ใหญ่กว่าก็ไหลท่วมท่าลงมายังพื้นที่ราบที่เคยเป็นเนินตะกอนรูปพัดเมื่อครั้งโบราณกาล 

ถ้านับปริมาตรน้ำจากป่าผืนใหญ่นี้ ซึ่งประกอบไปด้วยอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทับลาน และอุทยานแห่งชาติปางสีดาแล้ว คงนับได้มหาศาล แต่น้ำเหล่านี้ค่อย ๆ ไหลลงมากินเวลานับหลายเดือน กว่าจะเดินทางไปถึงปลายทางที่ปากแม่น้ำบางปะกง จังหวัดชลบุรี

ถนนลูกรังที่กลายเป็นสถานที่สุดวิเศษในเวลาที่น้ำเอ่อล้นขึ้นมาท่วมถึง

แล้วระหว่างทางนั้น มวลน้ำมัวไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนกัน?

คำตอบคือ น้ำส่วนหนึ่งเดินทางมาหยุดพักอยู่บนที่ราบผืนใหญ่กว่า 150 ตารางกิโลเมตรนี้ ที่ตำบลท่าเรือและตำบลปากพลี จังหวัดนครนายก และบางส่วนของอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี กลายเป็นที่ราบน้ำท่วมสุดเขตสายตาที่ชื่อ ”ทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี” และเป็นพื้นที่ที่คนแปลกประหลาดกลุ่มนี้กำลังดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานกัน

เมื่อน้ำเอ่อล้นขึ้นบนผืนแผ่นดิน สิ่งที่พาพัดมานอกจากความชุ่มชื้นแล้ว น้ำยังหอบเอาแร่ธาตุสารอาหารปริมาณมหาศาลที่อุ้มมาจากผืนป่าติดมาด้วย พอน้ำหลาก ดินก็รับเอาสารอาหารเหล่านี้ไว้และกลายเป็นอาหารอย่างดีให้กับพืชและสาหร่ายจิ๋ว ที่เป็นอาหารชั้นเลิศของสัตว์น้ำตัวเล็กจนถึงตัวโตตามลำดับห่วงโซ่อาหารต่อไป 

ฝูงปลาซิวหางแดง (𝘙𝘢𝘴𝘣𝘰𝘳𝘢 𝘣𝘰𝘳𝘢𝘱𝘦𝘵𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ปลาซิวครีบแดง (𝘙𝘢𝘴𝘣𝘰𝘳𝘢 𝘳𝘶𝘣𝘳𝘰𝘥𝘰𝘳𝘴𝘢𝘭𝘪𝘴) และ ปลากริมสี (𝘛𝘳𝘪𝘤𝘩𝘰𝘱𝘴𝘪𝘴 𝘱𝘶𝘮𝘪𝘭𝘢) แหวกว่ายอยู่ในกอพืชที่น้ำท่วม

เมื่ออาหารมีมากมายเหลือเฟือ บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ก็ต่างรีบลงมาร่วมงานเลี้ยงบนทุ่งนาน้ำหลากนี้กันอย่างพร้อมเพรียง ฝูงปลาที่เคยหลบอาศัยอยู่ตามบุ่งทาม ตามหนองหัวไร่ปลายนา ตามแม่น้ำลำคลองสาขาน้อยใหญ่ ก็หอมน้ำใหม่รี่ว่ายขึ้นมายังทุ่งที่ราบน้ำเจิ่งนองกันอย่างพร้อมเพรียง อาศัยช่วงเวลาที่แสนสมบูรณ์นี้ เร่งจับคู่ เร่งวางไข่ เพื่อให้อาหารอันอุดมในทุ่งน้ำนี้เลี้ยงลูกเล็กของตัวเองให้ทันก่อนที่ฤดูแล้งจะวนกลับมา

ภาพที่คนเหล่านั้นเห็นแล้วต้องอุทานออกมาว่าสวยเหลือหลายนั้น คือภาพปลานับล้านที่ว่ายขึ้นมาตามกระแสน้ำใหม่นั่นเอง ฝูงปลาตัวน้อยที่ว่ายตามกันเป็นร้อยตัว แต่ละตัวแต่ละชนิดก็มีสีลวดลายต่างกัน บางตัวใสเหมือนแก้ว บางตัวมีตาสีฟ้าสดใส บางตัวครีบหางแดง บางตัวแดงลามไปจนทั่วตัว แหวกว่ายท่ามกลางพืชน้ำสีเขียวสีเหลือง เป็นภาพที่สวยงามยิ่งกว่าตู้ปลาหรืออควาเรียมใด ๆ

สาหร่ายนา (𝘕𝘢𝘫𝘢𝘴 𝘨𝘳𝘢𝘮𝘪𝘯𝘦𝘢) เกิดขึ้นใหม่ท่ามกลางพืชบกที่กำลังย่อยสลาย

น้ำมาปลากินมด

ช่วงเวลาที่น้ำเอ่อขึ้นมาจนท่วมทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี นี้ จะกินเวลาต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาว คือราวเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ ลูกปลาที่เกิดใหม่จะรีบกินรีบโต เพื่อเตรียมตัวอพยพย้อนกลับตามเส้นทางของพ่อแม่เพื่อกลับไปอยู่ยังแหล่งน้ำที่ไม่แห้งขอดในฤดูแล้ง และฟูมฟักตัวเองให้แข็งแรงเตรียมพร้อมกับการหลากมาของกระแสน้ำอีกครั้งหนึ่งในปีถัดไป

ตลอดเวลาที่น้ำหลากท่วมทุ่ง ในทุ่งจะเต็มไปด้วยปลาน้อยใหญ่ทั้งปลากินพืช อย่าง ปลาขาว ปลาตะเพียน ปลากินสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างปลาซิว ปลากริม ปลากัด ปลากระดี่ รวมไปถึงปลานักล่าอย่างปลาช่อนและชะโด ก็อาศัยช่วงเวลาอุดมเหยื่อนี้ในการเติบโตเช่นเดียวกัน มีการสำรวจโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร พบว่าทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี นี้มีสายพันธุ์ปลาน้ำจืดมากถึง 94 ชนิด หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 10 ของปลาน้ำจืดที่พบได้ในประเทศไทย และยังมีพันธุ์ไม้น้ำมากถึง 40 ชนิด

ปลากริมสี (𝘛𝘳𝘪𝘤𝘩𝘰𝘱𝘴𝘪𝘴 𝘱𝘶𝘮𝘪𝘭𝘢) ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าสด
ปลาซิวหางแดง (𝘙𝘢𝘴𝘣𝘰𝘳𝘢 𝘣𝘰𝘳𝘢𝘱𝘦𝘵𝘦𝘯𝘴𝘪𝘴) ตัวใหญ่ขนาดพ่อแม่พันธุ์ เตรียมพร้อมจะจับคู่และวางไข่ในทุ่งน้ำหลาก

ในนามีปลาในน้ำมีข้าว

และพื้นที่ราบลุ่มที่น้ำหลากเข้าท่วมนี้ เราก็ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันฝูงปลา โดยการปลูกข้าวพันธุ์วิเศษที่ชื่อว่าข้าวขึ้นน้ำ หรือข้าวน้ำลึก (Floating Rice) ซึ่งเป็นข้าวที่เกิดมาเพื่องอกงามในทุ่งน้ำหลากนี้โดยเฉพาะ ข้าวขึ้นน้ำเป็นข้าวที่สามารถทนน้ำที่ท่วมขังได้นานถึงสองสัปดาห์ และจะทะลึ่งยืดลำต้นจนพ้นน้ำได้สูงถึง 5 เมตรในยามที่น้ำหลาก เมื่อระดับน้ำในนาสูงขึ้น ข้าวก็จะยืดตัวเองขึ้นตามจนพ้น ปล่อยให้ลำต้นใต้น้ำกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นอยู่สบายของบรรดาปลาทั้งหลายที่มาวางไข่และอาศัยในที่นี้เพื่อเจริญเติบโต

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอยู่ว่า ด้วยภูมิประเทศของบ้านเราที่มักจะมีน้ำหลากท่วมสม่ำเสมอ เราจึงเคยเก็บรักษาพันธุ์ข้าววิเศษนี้ไว้ได้มากถึงมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่ปัจจุบันการชลประทานที่ทั่วถึงมากขึ้น และการสนับสนุนการเกษตรจากรัฐ ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวขึ้นน้ำลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย เหลือเพียงไม่ถึง 1 ใน 10 ของเมื่อในอดีต น่าเป็นห่วงว่า วันนึงเราจะสูญเสียพันธุ์ข้าวที่เกิดมาคู่กับพื้นที่ราบน้ำท่วมอย่างบ้านเราพันธุ์นี้ไปซักวัน

ทุ่งนาข้าวขึ้นน้ำที่ปรับความสูงได้ตามระดับน้ำ ความพิเศษอีกอย่างของทุ่งแห่งนี้
พืชบกที่ถูกน้ำท่วม กลายเป็นแหล่งอาหารชั้นดีให้กับสาหร่ายที่เข้ามาแทนที่ มองเห็นฟองอากาศจากการสังเคราะห์แสง

ปลาซิวปลาสร้อยที่ชื่อว่าสมพงษ์

หลังจากความตื่นเต้นที่เห็นฝูงปลานับร้อยว่ายวนรอบตัวคลายลง คนกลุ่มนั้นก็เริ่มตั้งใจตามหาบางสิ่งในท่ามกลางปลาตัวเล็กจิ๋วนับร้อย เหมือนจะยากแต่การดูทั้งภาพและคลิปของสิ่งนั้นมาก่อนก็ทำให้ภารกิจนี้ไม่ยากจนเกินไป

เจ้าสิ่งที่เขามาตามหากันนั้น คือปลาตัวเล็กจิ๋วขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร ลำตัวเพรียวยาวสีเหลืองทอง ลายข้างลำตัวเป็นเส้นดำที่ครึ่งหลังของแนวกลาง ดูก็เป็นปลาหน้าตาธรรมดา สีสันก็ไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับปลาอื่นในทุ่ง แต่สิ่งที่ทำให้คนเหล่านั้นดั้นด้นมาตามหาปลาตัวนี้เพราะดีกรีความหายากของมัน มันจัดอยู่ในขั้น 1 ใน 100 สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งของโลก (Critically Endangered-CR) ตามเกณฑ์ IUCN Red list ที่ต้องได้รับการอนุรักษ์อย่างเร่งด่วนเลยทีเดียว

ปลาซิวสมพงษ์ (𝘛𝘳𝘪𝘨𝘰𝘯𝘰𝘴𝘵𝘪𝘨𝘮𝘢 𝘴𝘰𝘮𝘱𝘩𝘰𝘯𝘨𝘴𝘪) ปลาตัวเล็กที่ยิ่งใหญ่

ปลาสีทองแวววับที่มีแถบดำแค่ครึ่งนี้ มีชื่อว่าปลาซิวสมพงษ์ (Trigonostigma somphongsi) ได้รับชื่อตามคุณสมพงษ์ เล็กอารีย์ ผู้ที่ส่งปลานี้ไปยังเมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์และได้รับการค้นพบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2500 หรือกว่าค่อนศตวรรษที่ผ่านมา และหลังจากการค้นพบครั้งนั้นปลาลี้ลับตัวนี้ก็เหมือนละลายไปกับอากาศธาตุ ไม่มีการค้นพบอีกเลยจนถูกประกาศว่าปลาชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้แล้ว 

จวบจนปีพ.ศ. 2557 ศ.ดร.นิสราภรณ์ เพ็ชร์สุทธิ์ ได้ค้นพบปลาซิวสมพงษ์อีกครั้งในแปลงนาข้าวขึ้นน้ำ ของตำบลท่าเรือ จังหวัดนครนายก หรือทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลีแห่งนี้ นับแต่นั้นทุ่งน้ำหลากแห่งนี้ก็ถูกเพิ่มเติมสีสันบนท้องทุ่งด้วยกลุ่มคนแปลกหน้าที่เวียนมาไม่ขาดสาย แน่นอนว่าสำหรับคนที่รักในหมู่มัจฉา ย่อมอยากเห็นปลาที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง เป็นบุญตาตัวเองซักครั้งกันทุกคน

ตะกอนและสารอาหารที่มากับน้ำ เปลี่ยนระบบนิเวศจากแห้งกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำในชั่วข้ามคืน

น้ำลดมดกินปลา

แล้วเมื่อถึงปลายฤดูหนาว ราวเดือนธันวาคม ระดับน้ำที่เคยเอ่อล้นทุ่งก็ค่อย ๆ ลดลง ปลาที่อ้วนพีเพราะได้อาหารอุดมสมบูรณ์จากทุ่งหล่อเลี้ยง ก็จะตั้งตนว่ายน้ำออกจากทุ่งไปอาศัยยังแม่น้ำหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่จะไม่แห้งขอดในฤดูแล้ง ช่วงนี้แหละที่คนพื้นที่จะออกมาจับปลากันอย่างสนุกสนาน ปลาใหญ่น้อยหลายตันที่เป็นลูกหลานทุ่งนาน้ำ ถูกดักจับแปรรูปกลายเป็นอาหารขึ้นชื่อและแหล่งรายได้หลักให้กับชุมชน ปลากระดี่ร้าในโอ่งมังกรนับสิบ ปลาช่อนนาแดดเดียวนอนเรียงรายบนกระด้ง ปลาเล็กปลาน้อยปรุงรสเตรียมทอดกรอบใส่อยู่ในถุงวางเรียงราย มีการประมาณไว้ว่าแต่ละปีทุ่งน้ำหลากแห่งนี้ สร้างรายได้ให้กับชุมชนนับสิบล้านบาทจากแค่การขายปลาอย่างเดียว

ปลาซิวข้าวสารแคระ (𝘖𝘳𝘺𝘻𝘪𝘢𝘴 𝘮𝘪𝘯𝘶𝘵𝘪𝘭𝘭𝘶𝘴) ตัวจิ๋ว สะท้อนแสงสีฟ้าจากตาและส่วนท้อง

พอน้ำระบายออกจากทุ่งจนหมด ผืนดินที่จมอยู่ใต้น้ำนานหลายเดือนก็ได้รับแสงแดดอีกครั้ง เศษซากอินทรีย์วัตถุที่น้ำพัดมาและที่งอกงามขึ้นเองในทุ่งน้ำ ก็เน่าสลายกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีให้กับผืนดิน เหง้า หัว เมล็ดของพืชน้ำเข้าสู่ระยะพักตัวรอเวลาที่น้ำจะพัดพามาใหม่

สัตว์บกก็กลับมายึดพื้นที่คืนจากผืนน้ำ เมล็ดพืชที่ตกอยู่กลายเป็นอาหารอย่างดีให้กับสัตว์ฟันแทะและหนู ซากพืชน้ำที่แห้งกรังกับพื้นกลายเป็นอาหารโปรดของผู้ย่อยสลายในดินและใส้เดือน มด ปลวก แมลง และแมง กลับเข้ามาใช้พื้นที่เปิดใหม่ที่อุดมไปด้วยอาหาร เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ผืนแผ่นดินรุกกลับมาเพื่อเก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่มวลน้ำทิ้งเอาไว้ให้ 

ปลากริม (𝘛𝘳𝘪𝘤𝘩𝘰𝘱𝘴𝘪𝘴 𝘷𝘪𝘵𝘵𝘢𝘵𝘶𝘴) แอบอิงอาศัยกับกองพืชน้ำ

ความงามตามฤดูกาล

ผ่านเสียงพลุจากเทศกาลปีใหม่ไปไม่นาน ผืนแผ่นดินที่เคยเจิ่งน้ำนี้ก็จะตากแดดเสียจนแห้งกรอบ แผ่นดินแตกออกเป็นร่องระแหง นาข้าวที่น้ำเคยขึ้นจนมิดหัวเหลือเพียงตอฟางที่เอนลู่ลงแนบดิน ภาพคนแต่งตัวแปลกที่ใส่แว่นดำน้ำเหล่านั้นหายหน้าไปนานแล้ว เช่นเดียวกับปลาฝูงปลานับล้านที่ว่ายวนเหมือนภาพสวรรค์ 

แต่คนแถวนี้ก็รู้กันว่า เมื่อฝนห่าใหญ่ตกลงบนภูเขาไกลตรงขอบฟ้า และน้ำในคลองเอ่อล้นขึ้นท่วมผืนนาข้าวขึ้นน้ำเขียวขจีสุดตา ทั้งฝูงปลาและฝูงคนจะหวนกลับมาทุ่งน้ำหลากนี้ อีกครั้ง

ปลาเล็กปลาน้อยจากยอปั่น สินในน้ำที่ชาวปากพลีหวงแหน

เรื่องและภาพ วรพจน์ บุญความดี

 

“อยากรู้จักทุ่งน้ำหลากให้มากขึ้น แนะนำหนังสือ “คุณค่าทุ่งน้ำหลากท่าเรือ-ปากพลี ที่อยู่สุดท้ายของปลาซิวสมพงษ์” จากมูลนิธิสืบนาคเสถียร”

อ้างอิง

https://www.seub.or.th

https://www.seub.or.th

https://www.chaipat.or.th

https://en.wikipedia.org

https://www.mekongeye.com


อ่านเพิ่มเติม : สำรวจธรรมชาติ ยามตะวันลับฟ้า

ในป่าดงดิบชายแดนไทย-มาเลเซีย

Recommend