เมื่อการแบนแอลกอฮอล์ กลายเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจของผู้หญิงต้นยุค 90s

เมื่อการแบนแอลกอฮอล์ กลายเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจของผู้หญิงต้นยุค 90s

“กฎการห้ามผลิตและขายสุรา (Prohibition) มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมความรุนแรงที่เกิดจากผู้ชาย

แต่มันกลับเปิดทางให้ผู้หญิงลุกขึ้นมามีบทบาท ทั้งในฐานะผู้ลักลอบขนส่งเหล้าเถื่อน

นักเคลื่อนไหวผลักดันนโยบายและเป็นแรงขับสำคัญ

ของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่นำไปสู่ความเท่าเทียมทางเพศ”

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1920 หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานว่า วิลเลียม ฮาร์ตแมน (William Hartman) พลโทกองทัพบกสหรัฐฯ ยิงภรรยาตนเสียชีวิต หลังจากเพิ่งผ่านค่ำคืนในการดื่มวิสกี

เราไม่อาจทราบถึงสาเหตุของการกระทำนั้นได้เลย แต่เรื่องราวที่มีเนื้อหาคล้ายกันกลับปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างน่าตกใจแทบจะเป็นประจำในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภัยร้ายของแอลกอฮอล์ที่กลุ่มเรียกร้องการควบคุมแอลกอฮอล์ (Temperance movement) มักยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการผลักดันให้มีการห้ามขายเครื่องดื่มมึนเมา

“เราทุกคนตระหนักได้ว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่เกิดจากความมึนเมา เพราะมีปัจจัยเรื่องการขาดการยับยั้งชั่งใจเข้ามาเกี่ยว” เดบอราห์ บลัม (Deborah Blum) นักข่าวหญิงสายวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer) และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและสังคมในยุค Prohibition กล่าวไว้ การดื่มแอลกอฮอล์มักถูกเชื่อมโยงกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด และงานวิจัยก็เผยว่า ผู้ชายมักจะดื่มกินแบบไม่ยั้งมากกว่าผู้หญิงเป็นสองเท่า “ดังนั้นผู้ชายจึงมักมีอาการเมาและมีโอกาสใช้ความรุนแรงมากกว่า และเป็นอันตรายมากขึ้นต่อผู้หญิง” เธอกล่าวเสริม

โดยส่วนใหญ่ ผู้คนมักสนใจและเขียนถึงบทบาทผู้หญิงที่มีส่วนช่วยในการยกเลิกกฎการห้ามผลิตและขายสุรา แต่น้อยคนที่จะให้ความสนใจต่อบทบาทอันซับซ้อนของพวกเธอในเหตุการณ์นี้ และนี่เป็นเรื่องชวนให้ย้อนแย้งอยู่ไม่น้อย เพราะกฎฉบับเดียวกันที่จำกัดเสรีภาพของพวกเธอ กลับเป็นสิ่งที่เปิดประตูให้ผู้หญิงได้เข้าถึงพลังอำนาจรูปแบบใหม่ และได้รับการยอมรับในทางกฎหมายมากขึ้น

“มันคือการบอกเป็นนัยว่าผู้หญิงได้รับความชอบธรรมแล้ว มีการถกเถียงจากกลุ่มเรียกร้องการควบคุมแอลกอฮอล์ว่า ภัยอันตรายทั้งหลายที่มีต่อผู้หญิงล้วนแต่มีผู้กระทำเป็นชายที่ดื่มแอลกอออล์ ดังนั้นการให้กฎการห้ามผลิตและขายสุราได้รับการอนุมัติ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมีคุณค่ามากขึ้น และควรได้รับมาตรฐานทางกฎหมายที่สูงกว่าเดิม”  ปีเตอร์ ลีบฮอลด์ (Peter Liebhold) ผู้ดูแลสถาบันสมิธโซเนียน (เกษียณแล้ว) กล่าวไว้

แม้ว่ากฎการห้ามผลิตและขายสุราจะไม่ได้มอบความชอบธรรมโดยตรงแก่ผู้หญิง แต่การจำกัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อทุกคน (ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิง) ก็ส่งสัญญาณอย่างลึกซึ้งถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเท่าเทียม

อิทธิพลของกฎการห้ามผลิตและขายสุราต่อชีวิตผู้หญิง 

ก่อนหน้าที่จะมีกฎการห้ามผลิตและขายสุรา ร้านขายเหล้าและบาร์เป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้ชาย โดยเฉพาะในรัฐโคโลราโด สถานที่เหล่านั้นถือเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้หญิง ซึ่งตรงกันข้ามกับเจตนาของกลุ่มต่อต้านแอลกอฮอล์อย่าง Anti-Saloon League และกลุ่ม Dry เพราะยิ่งต่อต้านก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับร้านขายเหล้าหรือธุรกิจค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อน 

“ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในร้านขายเหล้าและบาร์ เพราะมันคือพื้นที่ของผู้ชาย” เดบอราห์ บลัมกล่าว “พวกผู้ชายจะนัดพบและรวมตัวกันในบาร์เพื่อตัดสินใจกันเรื่องนโยบายต่าง ๆ ส่วนผู้หญิง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะก้าวขาเข้าไปในประตู แอลกอฮอล์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความไร้อำนาจสำหรับพวกเธอ” 

การสั่งห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นการท้าทายมาตรฐานทางสังคมและเปิดทางให้ผู้หญิงก้าวข้ามบทบาททางเพศ จากเดิมที่เคยถูกปกป้องให้ห่างจากแอลกอฮอล์ ในครั้งนี้พวกเธอกลับเป็นฝ่ายเริ่มดื่ม เสิร์ฟ และแม้กระทั่งขายมันด้วยตัวเอง

จุดเริ่มต้นของหญิงผู้ลักลอบขนส่งเหล้าเถื่อน 

เมื่อกฎการห้ามผลิตและขายสุราถูกบังคับใช้ มันสร้างโอกาสอันน่าประหลาดใจต่อผู้หญิง โดยเฉพาะการลักลอบค้าขายแอลกอฮอล์ อย่างเท็กซัส ไกแนน (Texas Giunan) อดีตนักแสดงละครใบ้หญิง ผู้ถูกทาบทามโดยผู้ลักลอบขนส่งเหล้าเถื่อน และลงเอยด้วยการบริหารสถานที่ขายเหล้าผิดกฎหมาย (speakeasies) ที่มีชื่อฉาวที่สุดแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก

เธอมาพร้อมกับปืนพกรัดไว้ที่ต้นขา และมือถือเครื่องดื่มอยู่ตลอด เธอต้อนรับแขกในทุกค่ำคืน ด้วยวลีเด็ด “สวัสดี ไอ้พวกงี่เง่า!” (Hello, suckers!) โดยเธอไม่ได้แค่เสิร์ฟเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังท้าทายต่อระเบียบสังคม เธอจึงกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรก ๆ ที่ทำกำไรจากโลกกลางคืนในเงื่อนไขของตัวเองอย่างเปิดเผย

คนอื่น ๆ อย่างอีเธอร์ คลาร์ก (Ether Clark) หรือที่รู้จักกันในนามของ “นักลักลอบขนเหล้าเถื่อนแห่งเล้าไก่” (The Henhouse Bootlegger) เนื่องจากเธอเก็บเหล้าไว้ในเล้าไก่อย่างแยบยล ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หญิงสาวหลายคนได้ค้นพบเส้นทางอาชีพที่พวกเธอไม่อาจเข้าถึงได้มาก่อน เพราะยุคการห้ามผลิตและขายสุราเปิดทางให้พวกเธอก้าวข้ามบทบาททางเพศเดิม ๆ อย่างช่างตัดเสื้อหรือครูไปสู่สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดครัวพร้อมร้านลับภายใน หรือแม้แต่ลักลอบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ข้ามพรมแดน

อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงโอกาสเหล่านี้จำต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายทางสังคม พวกเธอถูกมองว่าเป็น “หญิงขายบริการ” เพราะใช้ชีวิตที่แปลกแยกไปจากบรรทัดฐานของสังคมที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นการติดโรคติดต่อทางเพศ การทำงานเป็นสาวเสิร์ฟ หรืออย่างในกรณีของการเปิดสถานที่ขายเหล้าผิดกฎหมาย เป็นต้น การกล่าวหาเรื่อง “การค้าประเวณี” มักไม่ใช่เพียงการชี้ถึงพฤติกรรมจริง หากแต่เป็นเครื่องมือทางสังคมที่ใช้ควบคุมและจำกัดผู้หญิงจากการก้าวล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ผู้ชายครอบครองอำนาจ

ถึงอย่างนั้น ชีวิตของ “ผู้หญิงยุคใหม่” ที่มั่นใจ กล้าท้าทาย และไม่ยอมจำนนต่อค่านิยมเดิมก็กลายเป็นภาพแทนของยุค “Roaring Twenties” (ทศวรรษแห่งความครึกครื้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสหรัฐฯ) ที่พลุ่งพล่านไปด้วยอิสรภาพ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ในเรื่องสิทธิสตรีและการแสดงออกของตัวตน

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ร้านอาหารบางแห่งเริ่มมีการบริการที่โต๊ะแก่ผู้หญิง ซึ่งในอดีตพวกเธออาจรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องนั่งดื่มที่เคาน์เตอร์บาร์แต่เมื่อผู้หญิงจำนวนมากเริ่มก้าวเข้าสู่วงการลักลอบขนส่งเหล้าเถื่อน พวกเธอก็ต้องเผชิญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นประจำ

เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายต่างประหลาดใจกับจำนวนตัวเลขผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้นจากการจับกุม ซึ่งมากจนเจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติต่อผู้หญิงที่กระทำผิดแตกต่างออกไป และในทางใดทางหนึ่ง พวกเธอก็มักได้เปรียบ มีเรื่องเล่าในศาลถึงการที่ผู้พิพากษายอมให้อภัยผู้หญิงเหล่านี้อย่างง่ายดาย และเมื่อมาเฟียสังเกตเห็นทิศทางนี้ พวกเขาจึงเริ่มเปิดรับสตรีเข้าร่วมกลุ่มอย่างจริงจัง

“จำนวนผู้ลักลอบขนส่งเหล้าเถื่อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องใช้ผู้หญิงร่วมช่วย เนื่องจากหลายรัฐมีกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่ชายค้นตัวหรือจับกุมผู้หญิง” ตามรายงานของสำนักงานควบคุมแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และวัตถุระเบิด ประกาศว่า “มีความต้องการเจ้าหน้าหญิงที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเร่งด่วน เพื่อใช้ค้นตัวเช่นกัน” งานใหม่ๆ จึงเปิดโอกาสให้กับผู้หญิงมากขึ้น และถูกกฎหมายอย่างสมบูรณ์ 

การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่นำไปสู่ความเท่าเทียม 

แม้ว่ากฎการห้ามผลิตและขายสุราจะถูกมองว่าเป็นความล้มเหลว แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ เป็นเวลาหลายสิบปีที่ผู้หญิงได้วางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ซึ่งสมาคมผู้หญิงที่เรียกร้องถึงการควบคุมแอลกฮออล์ (Women’s Christian Temperance Union) ไม่ใช่แค่กลุ่มต่อต้านสุราเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในองค์กรทางการเมืองของผู้หญิงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สำหรับนักปฏิรูปอย่าง ฟรานเซส วิลลาร์ด (Frances Willard) และแครรี เนชัน (Carrie Nation) การรณรงค์ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาอำนาจทางสังคม ท่ามกลางสังคมที่ไม่ยอมให้พวกเธอมีสิทธิเลือกตั้ง การคุ้มครองตามกฎหมาย หรือแม้แต่สิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ

เมื่อวิลเลียม ฮาร์ตแมน ฆ่าภรรยาในเดือนมิถุนายน 1920 บทความในหนังสือพิมพ์ไม่ได้ถามว่าเธอต้องการอะไรหรือสวมใส่อะไรอยู่ แต่กลับตั้งคำถามถึงสิ่งที่ผู้ชายกระทำผิด และนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่นักกฎหมายเริ่มใส่ใจถึงอันตรายที่ผู้หญิงต้องเผชิญภายในครอบครัว และตอบสนองด้วยนโยบายต่าง ๆ แม้นโยบายจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือเป็นการแสดงออกที่สำคัญ ดังนั้น ผลจากกฎการห้ามผลิตและขายสุราจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนแต่ทรงพลังในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เป็นรากฐานสำหรับความก้าวหน้าในสิทธิสตรี เช่น สิทธิ์ในการออกเสียงและการปฏิรูประบบแรงงาน ซึ่งเริ่มมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นในทศวรรษต่อมา

“ผมคิดว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และยุคการห้ามผลิตและขายสุราก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน ผู้หญิงก็เริ่มได้รับการยอมรับทางกฎหมาย และสิ่งที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในวงกว้างเกี่ยวกับบทบาทของพวกเธอในสังคม แต่แน่นแนว่า การเดินทางนี้คงยังไม่จบลงง่ายๆ” ลีบฮอลด์กล่าว

เรื่อง Isabel Ravenna

แปลและเรียบเรียง ญาณิศา ไชยคำ

โครงการสหกิจศึกษา กองบรรณาธิการ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย


อ่านเพิ่มเติม : Yumbo Centrum ห้างสรรพสินค้า

ที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ มากที่สุดบนโลก

 

Recommend