ผลวิจัยชี้ ภาวะโลกร้อนทำเชื้อไวรัสระบาดง่าย เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อจากน้ำเสีย

ผลวิจัยชี้ ภาวะโลกร้อนทำเชื้อไวรัสระบาดง่าย เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อจากน้ำเสีย

“การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศจะทำให้คุณป่วยมากขึ้น

ด้วยการช่วยให้ไวรัสในท่อน้ำทิ้งแพร่กระจายมากยิ่งขึ้นผ่านปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติ”

ภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมในหลาย ๆ ด้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่ทำลายสถิติ ภัยแล้ง ฝนตกหนักและต่อเนื่องในพื้นที่เดียว อีกทั้งยังก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันซึ่งทั้งหมดต่างส่งผลต่อเราทุกคน อย่างไรก็ตามภัยร้ายยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศยังทำให้มนุษยชาติถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่าง ‘ไวรัส’ มากขึ้น

“ปัจจุบัน เราอาศัยอยู่ในโลกที่เหตุการณ์จากสภาพอากาศสุดขั้วเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งความถี่ของพายุฝนและคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็อาจเพิ่มโอกาสในการสัมผัสกับไวรัสที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียในแม่น้ำ ทะเลสาบ และแหล่งน้ำชายฝั่งมากขึ้น” เจสสิกา เควิลล์ (Jessica Kevill) จากคณะสิ่งแวดล้อมและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแบงกอร์ 

ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Water Research ระบุว่าไวรัสอาจแพร่กระจายผ่านท่อระบายน้ำเสียเหล่านั้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนในวงกว้างมีความเสี่ยงด้านสุขภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันน้ำเสียเหล่านั้นก็สามารถไหลลงสู่ทะเลสาบและแม่น้ำหลังจากเกิดพายุรุนแรงได้ ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทั้งระบบนิเวศ

ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นจะต้องมีวิธีการที่เชื่อถือได้ในการตรวจจับไวรัสที่อาจก่อโรคในสิ่งแวดล้อม ทว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งเนื่องจากในสิ่งแวดล้อมนั้นมักมีสิ่งปนเปื้อนมากมายตั้งแต่สารเคมีไปจนถึงแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ซึ่งอาจรบกวนการทดสอบในห้องปฏิบัติ แต่แล้วในที่สุดทีมวิจัยก็บรรลุในสิ่งที่พวกเขาตั้งใจไว้

เริ่มต้นจากท่อระบายน้ำ

โดยทั่วไปแล้วน้ำเสียดิบ ๆ มักจะประกอบด้วยปัสสาวะและอุจจาระของมนุษย์รวมถึงเซลล์ที่ตายแล้วต่าง ๆ เศษอาหาร ยา แบคทีเรีย และไวรัสจำนวนมากเข้าไปด้วย แม้ว่าไวรัสส่วนใหญ่ที่มนุษย์ปล่อยออกมาจะค่อนข้าง ‘ไม่เป็นอันตราย’ แต่ก็มีไวรัสบางชนิดที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่น เอนเทอโรไวรัส และโนโรไวรัส

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว แม้ว่าจะหายจากอาการของโรคแล้วแต่ก็ยังสามารถปล่อยอนุภาตไวรัสออกมาหลายพันล้านอนุภาคทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ ซึ่งทำให้ไวรัสจะยังคงถูกปล่อยลงไปในท่อระบายน้ำ ไหลผ่านเครือข่ายไปจนถึงโรงบำบัดน้ำเสีย แม้วิธีการบำบัดทั่วไปจะมีประสิทธิภาพมาก (ในสหราชอาณาจักรมีประสิทธิภาพมากกว่า 99%) 

แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะหลุดรอดไปด้วย แต่ความเสี่ยงมากที่สุดไม่ใช่จากโรงบำบัดน้ำเสีย ทว่าเป็นน้ำเสียดิบ ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการบำบัดต่างหาก น้ำเหล่านี้อาจถูกฝนตกหนักและน้ำท่วมเฉียบพลันที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนำพาออกมาซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง

“เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ฉันและเพื่อนร่วมงานได้พัฒนาวิธีการกรองไวรัสที่เสียหายเกิดกว่าจะทำให้เกิดการติดเชื้อออกไป วิธีนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของเรานั้นได้เน้นเฉพาะไวรัสที่อาจติดเชื้อได้ในแต่ละตัวอย่างเท่านั้น” เควิลล์ กล่าว “วิธีการของเรายังช่วยให้เราสามารถระบุไว้รัสได้หลายประเภทพร้อมกัน ทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพและครอบคลุมมากขึ้น” 

การทดลองเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อจำนลองเหตุการณ์เกี่ยวกับสภาพอากาศผิดปกติทั้งในระยะสั้นเช่นพายุ และการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวเช่นอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทีมวิจัยได้นำไวรัสที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเช่น อะดีโนไวรัสและโนไวรัส ซึ่งเก็บมาจากแม่น้ำ ปากแม่น้ำ และน้ำทะเล 

จากนั้นได้ติดตามการเสื่อมสภาพของไวรัสในช่วง 2 สัปดาห์ โดยตัวอย่างเหล่านั้นได้สัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันและได้รับแสงแดดที่ไม่เท่ากัน ท้ายที่สุดทีมวิจัยจะวัดระดับของไวรัสเพื่อดูว่าพวกมันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

แสงแดดผู้พิทักษ์ของเรา

จากข้อมูลเหล่านั้นทีมวิจัยได้คำนวณ ‘อัตราการสลายตัวของ T90’ ซึ่งก็คือเวลาที่ปริมาณของไวรัสลดลงร้อยละ 90 อัตราเหล่านี้จะเป็นการบ่งบอกว่ามันจะยังสามารถสร้างการติดเชื้อได้หรือไม่ (การติดเชื้อในสิ่งมีชีวิตจะต้องใช้ปริมาณไวรัสมากพอสมควร ไม่ใช่ว่าได้รับเพียง 1 ตัวแล้วจะเกิดการติดเชื้อได้) 

“ที่น่าสนใจก็คือ เราพบว่าประเภทของน้ำเช่นจากแม่น้ำ ปากแม่น้ำ หรือทะเล ต่างก็มีผลเพียงเล็กน้อยต่อระยะเวลาที่ไวรัสสามารถแพร่เชื้อหรือตรวจพบได้ในการวิเคราะห์ของเรา” เควิลล์ กล่าว

ไวรัสในลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง สามารถแพร่เชื้อในน้ำทะเลได้นานถึง 3 วันที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส และในอุณหภูมิที่เย็นกว่านั้นก็สามารถอยู่ได้นานถึง 1 สัปดาห์ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อได้รับได้แสงแดด ไวรัสกลับสามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงในวันที่แดดออก

และในวันที่อากาศครึ้ม ไวรัสก็สามารถมีอยู่ชีวิตอยู่ได้ประมาณ 2.5 วัน ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความเสี่ยงด้านสุขภาพอยู่หากน้ำเสียเข้าไปปนเปื้อน แต่ก็ยังมีความหวังเนื่องจากแสงแดดสามารถช่วยจัดการไวรัสแทนได้หากวันดังกล่าวมีอากาศแจ่มใส อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอาจทำให้มีฝนตกต่อเนื่องซึ่งสร้างความเสี่ยงเพิ่มเติม

“เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ การวิจัยของเราแนะนำว่าผู้คนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนันทนาการในน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำเสียเป็นเวลาอย่างน้อย 2.5 วันในช่วงที่มีเมฆมาก และอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากที่แดดออก” เควิลล์ กล่าว “การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอาจทำให้ปัญหาเลวร้ายลงได้ โดยในช่วงฤดูร้อนบางช่วงอาจมีการปนเปื้อนของน้ำเสียมากขึ้น โดยเฉพาะฝนตกหนักหลักจากเกิดภัยแล้ง” ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นปัญหาไปทั่วโลกเนื่องจากปลายพื้นที่ยังคงมีระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่มีคุณภาพ อีกทั้งยังปล่อยน้ำเสียบางส่วนลงสู่ธรรมชาติโดยตรงจนทำให้เกิดความเสี่ยงในวงกว้าง

“การวิจัยของเราเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียให้ดีขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและหน่วยงานด้านสุขภาพต้องพัฒนากลยุทธ์ในการจัดการกับความเสี่ยงให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ” เควิลล์ ทิ้งท้าย

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.sciencedirect.com

https://phys.org

https://theconversation.com

https://www.discovermagazine.com


อ่านเพิ่มเติม : สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 2% กำลังเสี่ยงตายจากความร้อน

ถ้าโลกร้อนขึ้นอีก 4 องศา อีก 7.5% อาจสูญพันธุ์

Recommend