“เริ่มจากการถูกล่าเอาหนัง จากนั้นถูกจัดเป็นสัตว์รบกวน แต่ตอนนี้
พวกมันกำลังเป็นที่รู้จักในสถานะอื่น นั่นคือ ฮีโร่กู้วิกฤติสภาพภูมิอากาศ”
ไฟป่าอีสต์ทรับเบิลซัมปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ปี 2020 และทวีความรุนแรงจากกระแสลมแรงและป่าที่แห้งจากภัยแล้งเป็นเชื้อเพลิง ไฟเผาผลาญป่าสนสปรูซและป่าสนเฟอร์ทางตอนเหนือของรัฐโคโลราโด ลุกลามข้ามถนน และแม่น้ำ อาคารทางประวัติศาสตร์ในอุทยานแห่งชาติร็อกกีเมาน์เทนและบ้านเรือนในแกรนด์เคาน์ตีถูกเผาเป็นจุณ มีผู้เสียชีวิตสองคน สรุปแล้วมีพื้นที่ถูกเผาไปเกือบ 500,000 ไร่ ไฟป่านี้จึงมีความรุนแรงเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของรัฐโคโลราโด
ท้ายที่สุด สิ่งเดียวที่ไม่ถูกไฟป่าอีสต์ทรับเบิลซัมเผาผลาญ คือหนองน้ำที่บีเวอร์สร้างขึ้น ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าไรนัก แน่นอนว่าบีเวอร์สร้างเขื่อนที่กักเก็บน้ำ และดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า น้ำไม่ติดไฟ แต่ประโยชน์ที่สัตว์ฟันแทะซึ่งอาศัยอยู่ทั้งในน้ำและบนบกชนิดนี้มอบให้มีมากมายกว่านั้น ในผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ก่อนเกิดไฟป่าอีสต์ทรับเบิลซัมหลายสัปดาห์ เอมิลี แฟร์แฟกซ์ นักนิเวศอุทกวิทยา ปัจจุบันอยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตา พบว่า หนองน้ำและคลองที่บีเวอร์สร้างช่วยผันน้ำไปทั่วภูมิทัศน์ แปรสภาพพืชแห้งกรอบที่เป็นเชื้อไฟอย่างดีให้กลายเป็นพืชเขียวชอุ่มติดไฟยาก เกิดเป็นแหล่งหลบภัยเขียวขจีให้สัตว์ป่าและปศุสัตว์ได้หนีมาพักพิง
แฟร์แฟกซ์ได้ข้อสรุปจากการศึกษาไฟป่าห้าครั้งในช่วงปี 2000 ถึงปี 2018 แต่ไฟป่าอีสต์ทรับเบิลซัมรุนแรงกว่าไฟป่าเหล่านั้นมาก แม้ไฟป่าจะเป็นพลังธรรมชาติที่ทำให้มีต้นไม้งอกใหม่ในภูมิทัศน์ของทวีปอเมริกาเหนือมานานแล้ว ไฟที่เรียกว่าไฟป่าขนาดยักษ์ ซึ่งเผาผลาญภาคตะวันตกที่แห้งแล้งมากขึ้น เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป โดยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระตุ้นให้เป็นไฟประลัยกัลป์ที่ลุกลามเป็นบริเวณกว้างมากและร้อนจัด จนระบบนิเวศมักไม่สามารถฟื้นตัวได้ แฟร์แฟกซ์สงสัยว่า ภายใต้สภาพการณ์เหล่านั้นบีเวอร์จะยังคงทำให้ผืนป่าขนาดใหญ่ต้านทานไฟได้หรือไม่ แต่เมื่อเธอไปเยือนป่าที่ถูกไฟป่าอีสต์ทรับเบิลซัมและไฟขนาดยักษ์อีกครั้งหนึ่งเผาจนดำเป็นตอตะโก เธอค้นพบว่า โอเอซิสซึ่งมีหนองน้ำที่บีเวอร์สร้างขึ้นรอดพ้นไฟได้ “มีแม่น้ำทั้งสายที่ไม่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าเลยแม้แต่น้อย เพราะมีเขื่อนบีเวอร์กั้นไปตลอดสายค่ะ” เธอบอก “ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยชีวิต ต้นกกกำลังเติบโต ใบสนยังคงอยู่บนต้นสน” หนองน้ำไม่ได้มีประโยชน์ก่อนเกิดไฟป่าเท่านั้น แต่ยังปกป้องระบบนิเวศจากผลกระทบหลังเกิดไฟป่าด้วย โดยการดักเถ้าและเศษซากที่ไหลลงมาจากลาดเขา ช่วยปกป้องปลาทางปลายน้ำและน้ำดื่ม ในบทความปี 2024 ที่อธิบายการค้นพบนี้ แฟร์แฟกซ์และผู้ร่วมวิจัยสรุปว่า บีเวอร์ “สามารถเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบจากไฟป่าอย่างครอบคลุม”

บีเวอร์ซึ่งเคยถูกล่าจนใกล้สูญพันธุ์เพื่อเอาหนังและต่อมาถูกตราหน้าว่าเป็นสัตว์ก่อความรำคาญ กำลังกลับมา ปัจจุบันมีบีเวอร์แหวกว่ายและเดินเตาะแตะไปทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือ 10 ถึง 15 ล้านตัว พวกมันคือผู้กอบกู้ระบบนิเวศของโลกที่ถูกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำลาย และการบรรเทาไฟป่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นบีเวอร์สร้างเขื่อนที่ชะลอการไหลของน้ำ ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำที่ช่วยต่อสู้ภัยแล้ง และด้วยการสลักเสลาพื้นที่ชุ่มน้ำ พวกมันได้ช่วยจัดหาถิ่นอาศัยให้สัตว์อื่น
ไม่มีที่ใดที่ต้องการการกลับมาของบีเวอร์มากไปกว่าพื้นที่แถบตะวันตกของสหรัฐฯ ที่ตึงเครียดจากสภาพภูมิอากาศ และเป็นที่ที่การฟื้นฟูประชากรบีเวอร์กำลังเกิดขึ้นในระดับหนึ่งในทุกรัฐ แต่บีเวอร์ตัวป่วนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับการชอบเข้าไปสร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ ยังไม่เป็นที่ต้อนรับอย่างแพร่หลาย
แม่น้ำซานเปโดรไหลคดเคี้ยวข้ามพรมแดนระหว่างรัฐแอริโซนากับเม็กซิโกผ่านทะเลทรายโซโนรันอันแห้งผากคนชายแดนเคยรู้จักแม่น้ำซานเปโดรในชื่อแม่น้ำบีเวอร์ ก่อนที่พรานดักสัตว์ในศตวรรษที่สิบเก้าจะจับมันไปจนหมด “ที่ไหนมีน้ำตลอดปี ที่นั่นอาจมีบีเวอร์ค่ะ” ลิซา ชีเพก ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงกำไรชื่อกลุ่มจัดการลุ่มน้ำ (Watershed Management Group) บอกผมวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงบนริมฝั่งแม่น้ำซานเปโดร
เมื่อปี 1999 ด้วยความหวังว่าจะเสริมสร้างถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าในพื้นที่ สำนักงานจัดการที่ดินของรัฐบาลกลางนำบีเวอร์ 16 ตัวมาปล่อยในแม่น้ำซานเปโดร ลูกของบีเวอร์เหล่านี้กระจายไปทั่วแม่น้ำ อีกทั้งยังเข้าไปในเม็กซิโกด้วย นับตั้งแต่ปี 2020 ชีเพกร่วมกับนักชีววิทยาชาวเม็กซิโกและอาสาสมัครจำนวนมาก ตระเวนค้นหาแม่น้ำสายนี้ เพื่อประเมินประชากรบีเวอร์ ผมเข้าร่วมทีมของเธอหนึ่งวันในการสำรวจแนวป่าคอตตอนวูดที่ร่มครึ้มเพื่อหารอยแทะไม้ รอยเดิน และบ้านของบีเวอร์ บนลำต้นคอตตอนวูดที่ล้มแล้วต้นหนึ่ง บีเวอร์ลอกเปลือกออกจนเห็นเนื้อไม้สีขาวนวลและกัดกิ่งให้ปลายไม้ทู่ เศษไม้สีจางร่วงหล่นเกลื่อนริมฝั่ง “พวกมันน่าจะอยู่ที่นี่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะ” ชีเพก พูดเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ

เป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นอกเห็นใจบีเวอร์ เช่นเดียวกับพวกเราหลายคน บีเวอร์อาศัยอยู่เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก โดยทั่วไปแล้วคอโลนีหนึ่งประกอบด้วยคู่ผสมพันธุ์หนึ่งคู่กับลูกๆ ลูกบีเวอร์จะอยู่กับพ่อแม่จนกระทั่งอายุสองปี บนบก บีเวอร์เป็นอาหารที่งุ่มง่ามของเสือคูการ์ หมาป่า และหมี แต่พวกมันเป็นนักว่ายน้ำที่คล่องแคล่ว โดยมีเปลือกตาโปร่งใสและเท้าหลังเป็นพังผืด หางมีเกล็ดจากสารเคอราทินทำหน้าที่เป็นที่เก็บไขมันและหางเสือ ฟันที่เสริมความแข็งแรงด้วยธาตุเหล็กใช้ขูดเปลือกไม้ด้านในซึ่งเป็นอาหารหลักของบีเวอร์ ด้วยการสร้างเขื่อนให้น้ำเต็มหนองล้อมรอบบ้านที่สร้างจากไม้ บีเวอร์ขยายและปกป้องอาณาจักรน้ำของตัวเองเหมือนขุนศึกที่ขุดคูน้ำรอบปราสาท
เช่นเดียวกับมนุษย์ บีเวอร์เป็นผู้อยู่รอดเช่นกัน ดังเช่นที่ โฮโม เซเปียนส์ เป็นโฮมินินชนิดสุดท้ายของสายตระกูลยาวเหยียด บีเวอร์สองชนิดในโลก ได้แก่ Castor canadensis หรือบีเวอร์อเมริกาเหนือ และ Castor fiber หรือบีเวอร์ยูเรเชีย เป็นชนิดที่เหลืออยู่ของวงศ์ที่หลากหลาย ญาติซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว รวมถึง Castoroides ohioensis มีขนาดใหญ่เกือบเท่าหมีดำ แม้จะชวนให้นึกภาพว่า แคสเตอรอยดีสสร้างเขื่อนใหญ่เท่าเขื่อนฮูเวอร์ แต่บีเวอร์ชนิดนี้กลับไม่น่าจะสร้างเขื่อนเลย และสูญพันธุ์ไปในสภาวะที่แห้งแล้งกว่าปัจจุบัน บีเวอร์ในปัจจุบันอาจรอดมาได้เพราะสามารถดัดแปลงธรรมชาติในโลกที่ร้อนขึ้นนั่นเอง
ขณะบีเวอร์แพร่กระจายออกไป พวกมันก็ปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ ครั้งหนึ่งบีเวอร์จำนวนมากถึง 400 ล้านตัวท่องไปทั่วทวีปอเมริกาเหนือและสร้างหนองน้ำมากถึง 250 ล้านแห่ง หนองน้ำที่บีเวอร์สร้างเหล่านี้ค้ำจุนประชากรสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและปลาแซมอน เกื้อหนุนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตั้งแต่หนูมัสก์ถึงกวางมูส และช่วยเหลือ นกจับคอนที่กินแมลงน้ำเป็นอาหาร ชนพื้นเมืองเข้าใจมานานแล้วถึงความสำคัญของบีเวอร์ นักประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมผู้เป็นสมาชิกเผ่าแบล็กฟีต โรซาลิน ลาเพียร์ ตั้งข้อสังเกตว่า เผ่าแบล็กฟีตเชื่อว่าบีเวอร์เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถพูดคุยกับมนุษย์ และพวกเขาเคารพบีเวอร์ที่สร้างโอเอซิสทางนิเวศวิทยาขึ้นมา แต่ชาวอาณานิคมตะวันตกไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับความเคารพนั้น ในศตวรรษที่สิบหก หนังบีเวอร์ได้รับความนิยมในยุโรป โดยนำไปผลิตหมวกราคาแพง เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว นักดักสัตว์เพื่อเอาขนและพ่อค้าล่าบีเวอร์จนหมดไปจากแหล่งน้ำแทบทุกแห่งในทวีป เมื่อบีเวอร์หายไป พื้นที่ชุ่มน้ำก็แห้งขอดและลำธารถูกกัดเซาะ เป็นหายนะเปรียบได้กับปรากฏการณ์ทุ่งฝุ่น แต่เกิดขึ้นกับลำน้ำแทนที่ผืนดิน
กระนั้นบีเวอร์ก็ยังเหลือรอด ในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ หลายรัฐออกกฎหมายจำกัดการจับบีเวอร์และนำบีเวอร์จากสถานที่ต่างๆ อย่างแคนาดาและอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน มาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ผู้จัดการที่ดินบางรายผุดไอเดียบรรเจิด เช่น เมื่อปี 1948 กรมปลาและสัตว์ป่าของไอดาโฮจับบีเวอร์ใส่ลัง แล้วทิ้งลงสู่ป่าด้วยร่มชูชีพสองปีต่อมา วารสารการจัดการสัตว์ป่า (Journal of Wildlife Management) รายงานว่า “บีเวอร์สร้างเขื่อน สร้างบ้าน สะสมอาหาร และกำลังเริ่มสร้างคอโลนี”

ขณะที่บีเวอร์หวนคืนสู่ภาคตะวันตกอย่างช้าๆ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประโยชน์ของพวกมันเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ขณะที่ความเดือดร้อนจากสภาพภูมิอากาศทวีคูณขึ้น หนองน้ำบีเวอร์จะเก็บกักน้ำฝนและน้ำหิมะละลาย แล้วค่อยๆ ปล่อยออกมา เป็นการชดเชยปริมาณหิมะสะสมที่ลดลง หนองน้ำบีเวอร์ยังทำให้ดินชุ่มชื้นและเติมน้ำให้ชั้นหินอุ้มน้ำโดยการปล่อยให้น้ำซึมเข้าสู่ที่ราบน้ำท่วมถึง การศึกษาชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2022 ซึ่งติดตามบีเวอร์ย้ายถิ่นใหม่ในรัฐวอชิงตันพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วหนองน้ำเก็บกักน้ำผิวดินได้มากกว่า 980,000 ลิตรและน้ำบาดาลกว่า 2.4 ล้านลิตร “บีเวอร์ลดความเร็วของกระแสน้ำลง ทำให้น้ำคงอยู่นานขึ้น และเลียนแบบการทำหน้าที่ของหิมะสะสมที่หมดไปแล้ว” โจ วีตัน นักธรณีสัณฐานวิทยาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์เสตต กล่าวและเสริมว่า “ถ้านั่นไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นแล้วครับ”
ชีเพกประเมินว่า ปัจจุบันมีบีเวอร์มากถึง 21 ตัวอาศัยอยู่ในแม่น้ำซานเปโดรฝั่งแอริโซนา ส่วนในฝั่งเม็กซิโกอาจมีอีก 17 ตัว แต่ประชากรถูกแยกจากกันโดยประตูระบายน้ำเหล็กที่เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงกั้นชายแดน ในช่วงที่เราสำรวจนั้น เราเห็นรอยแทะมากมายและบ้านสองสามแห่ง แต่ไม่มีเขื่อน กระนั้น ชีเพกหวังว่า สักวันหนึ่งบีเวอร์จะสามารถฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำอันอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีอยู่ทั่วไปในลำธารกลางทะเลทรายหลายสาย และช่วยพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงใต้แก้ปัญหาเรื่องน้ำ
“ฉันได้แต่นึกภาพว่าที่นี่จะดูแตกต่างออกไปอย่างไร” ชีเพกพูดเศร้าๆ ขณะเราลุยน้ำลึกเท่าหน้าแข้งของ แม่น้ำบีเวอร์ในอดีต พลางนึกภาพหนองน้ำและบึงที่เคยมีมากมายที่นี่ “การนำชนิดพันธุ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนี้กลับมาเป็นเรื่องสำคัญมาก ถือเป็นวิวัฒนาการของการฟื้นฟูพื้นที่นี้ค่ะ”
เรื่อง เบน โกลด์ฟาร์บ
ภาพถ่าย โรแนน โดโนแวน และโคลูด อีด
แปล ปณต ไกรโรจนานันท์