“งานวิจัยใหม่ 2 ชิ้นเกี่ยวกับแมวโบราณพบว่า
แมวน่าจะถูกเลี้ยงครั้งแรกในบริเวณพื้นที่ของประเทศอียิปต์และตูนิเซียในปัจจุบัน
ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอาหารหรือไม่ก็วัสดุทำเสื้อผ้าของมนุษย์”
ต้นกำเนิดของแมวบ้านแสนน่ารัก ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกับต้นกำเนิดของมนุษย์ เจ้าเหมียวที่นอนเกาพุงอยู่บ้านนี้มาจากไหน? พวกมันมีการเดินทางมาจากแห่งหนใด? นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวของแมวที่เข้าใจยากเช่นเดียวกับพฤติกรรมของมัน
โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ทราบดีอยู่แล้วว่าแมวในปัจจุบัน (Felis catus) มีต้นกำเนิดมาจากแมวป่าแอฟริกา (Felis lybica) แต่แมวป่าเหล่านี้มาอยู่กับมนุษย์ได้อย่างไร คำถามนี้ยังคงเป็นเรื่องร้อนแรงในวงการวิทยาศาสตร์
ปัจจุบันงานวิจัย 2 ชิ้นที่เผยแพร่พร้อมกันใน bioRxiv ซึ่งนำโดยมหาวิทยาลัยโรม ทอร์ เวอร์กาตาร่วมกับอีกสถาบัน 42 แห่ง และอีกชิ้นที่นำโดยมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ร่วมกับนักวิจัยจาก 37 สถาบัน ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสัตว์เลี้ยงที่นิยมที่สุดในโลกชนิดนี้ ว่าพวกมันมาอยู่รวมกับมนุษย์แล้วแพร่กระจายไปทั่วโลกได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นของแมว
หนึ่งในสมมติฐานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือ มนุษย์เราเริ่มรับเลี้ยงแมวครั้งแรกในเลแวนต์ ซึ่งเป็นภูมิภาคในตะวันออกกลางที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงยุคหินใหม่เมื่อ 12,000 ถึง 5,000 ปีก่อน
เลแวนต์เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเสี้ยวพระจันทร์อันอุดมสมบูรณ์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเกษตรกรรม ทฤษฎีดังกล่าวนี้ทำให้เห็นว่ามนุษย์มีการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการล่าสัตว์และเก็บของป่ามาสู่การทำฟาร์ม ด้วยเหตุนี้สัตว์ฟันแทะ (เช่นหนู) จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ของคนในยุคนั้น
สิ่งนี้เองที่ดึงดูดแมวป่าให้เข้าหามนุษย์ทีละน้อย และเนื่องจากแมวป่ากินศัตรูการเกษตรกรรมของมนุษย์ เราและแมวจึงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยมีหลักฐานสนับสนุนจากร่างแมวที่ถูกฝังอยู่ที่เท้าของมนุษย์ในไซปรัส ซึ่งอยู่บริเวณนอกชายฝั่งของตุรกีและซีเรีย
“หลักฐานแรกที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแมวนั้นมาจากไซปรัสเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน” โจนาธาน โลซอส (Jonathan Losos) นักชีววิทยาวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตันในเซนต์หลุยส์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้กล่าว
จากหลักฐานนี้เองที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแมว อาจเริ่มต้นขึ้นในดินแดนเครสเซนต์อันอุดมสมบูรณ์
ข้อโต้แย้งแรก-ชีวิตที่น่าเศร้าของแมว
แม้งานวิจัยชิ้นแรกที่พูดถึงความสัมพันธ์อันดีแบบพึ่งพาอาศัยกันของมนุษย์และแมว แต่งานวิจัยที่สองนั้นได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวคิดนี้ พวกเขาชี้ให้เห็นว่าการนำแมวมาเลี้ยงจริง ๆ นั้นเกิดขึ้นภายหลัง และแมวในยุคนั้นก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในลักษณะแมวบ้าน แต่เป็น ‘แมวป่า’
ทีมวิจัยจากทอร์ เวอร์กาตา ได้ทำการวิเคราะห์ทางบรรพชีวินวิทยาของตัวอย่างแมวโบราณจากแหล่งโบราณคดี 97 แห่งในยุโรปและอนาโตเลีย รวมถึงตัวอย่างจากพิพิธภัณฑ์ในอิตาลี บัลแกเรีย และแอฟริกาเหนือ หรือก็คือพันธุกรรมของแมวยุคแรก
ผลการวิเคราะห์ดีเอ็นเอเหล่านั้นเผยให้เห็นว่าแมวที่เป็นบรรพบุรุษของแมวบ้านจริง ๆ ซึ่งปรากฏในยุโรปนั้นเกิดขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 เป็นต้นมา นับว่าช้ากว่าความเชื่อเดิมหลายพันปี
“เราประสบความสำเร็จในการสร้างจีโนมนิวเคลียสของแมวยุคหินใหม่หลายตัวจากอนาโตเลียและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าแมวเหล่านั้นเป็น ‘แมวป่า’ ยุโรป” มาร์โก เดอ มาร์ติโน (Marco De Martino) นักบรรพชีวินวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโรม ทอร์ เวอร์กาตา และหัวหน้าทีมวิจัยชุดแรกกล่าว
พวกเขายังระบุถึงแมวป่าสองระลอก โดยระลอกแรกได้มีการนำแมวป่าจากแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือมายังซาร์ดิเนียในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ก่อให้เกิดแมวป่าในปัจจุบันของเกาะ ระลอกต่อมาเกิดขึ้นในช่วงจักรวรรดิโรมัน ซึ่งได้มีการนำแมวที่มีพันธุกรรมคล้ายแมวบ้านปัจจุบันเข้าสู่ยุโรป โดยตูนิเซียคือศูนย์กลางสำคัญในการเพาะเลี้ยงของแมวบ้านยุคแรกอย่างแท้จริง
แต่ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าแมวจะมีชีวิตที่น่าเศร้า “พวกมันน่าจะถูกนำไปใช้เป็นอาหาร ใช้ขน หรือทางพิธีกรรม” เดอ มาร์ติโน บอก พร้อมเสริมว่า แมวเหล่านั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยง แต่ถูกนำไปใส่ในหม้อตุ๋น เป็นวัสดุทำเสื้อผ้า หรือเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้ามากกว่า
ข้อต้องแย้งที่สอง-ต่างออกไปเล็กน้อย
อีกหนึ่งการศึกษาที่นำโดยมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ ได้นำเสนอไทม์ไลน์ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย พวกเขาวิเคราะห์กระดูกจากสัตว์ตระกูลแมวโบราณ 2,416 ชิ้นจาก 206 แหล่งโบราณคดี พร้อมกับเสริมด้วยการอ้างอิงข้อมูลทางสัณฐานวิทยาและการค้นพบทางพันธุกรรม
ทีมวิจัยสรุปได้ว่าแมวบ้านปรากฏขึ้นในยุโรปแล้วตั้งแต่ต้นสหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จักรวรรดิโรมันจะแผ่ขยายอำนาจ เนื่องจากมีการค้นพบกลุ่มยีนไมโทคอนเดรียที่แตกต่างกันในสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล
และก็มีการค้นพบครั้งต่อมาในช่วงยุคโรมัน ยุคปลายยุคโบราณ และยุคไวกิ้ง อีกทั้งตูนิเซียยังได้รับการเสนอว่าเป็นต้นกำเนิดของแมวบ้านเช่นกัน ทั้งนี้ทีมวิจัยที่สองเสนอว่า ปัจจัยอย่างศาสนาและวัฒนธรรม อาจเป็นเป็นแรงผลักดันที่ทำให้มนุษย์สนใจแมวมากกว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน
“ลัทธิและศาสนามักเป็นปัจจัยผลักดันการเคลื่อนย้ายสัตว์ ตัวอย่างเช่น การแพร่กระจายของกวางฟอลโลว์มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับลัทธิอาร์เทมิสและไดอานา ขณะที่ไก่มีความเกี่ยวข้องกับเมอร์คิวรีและมิธรา” ฌอน โดเฮอร์ตี (Sean Doherty) นักวิจัยด้านสัตว์วิทยาจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ กล่าว
ตามที่ทีมวิจัยระบุ อียิปต์เป็นอารยธรรมยุคแรกที่โดดเด่นที่สุดที่ส่งเสริมการมีอยู่ของแมว โดยมีหลักฐานบ่งชี้ว่าแมวมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นั่นตั้งแต่สหัสวรรษแรกก่อนคริสตกาล โดยแมวได้รับการบูชาในฐานะส่วนหนึ่งของลัทธิบาสเตต เทพีแห่งอียิปต์ที่เกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ สุขภาพ การปกป้องคุ้มครอง และชีวิตในบ้าน
แมวจึงกลายเป็นเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในภาพอียิปต์โบราณ ทั้งในฐานะสมาชิกในครัวเรือนมนุษย์และในรูปลักษณ์ของบาสเตตเอง จากหลักฐานทั้งสัญลักษณ์และการทำมัมมี่แมวจำนวนมากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบูชาบาสเตต
ทีมวิจัยที่สองจึงสรุปว่าอียิปต์น่าจะเป็นศูนย์กลางหลักของการนำแมวมาเลี้ยง โดยพวกมันถูกเพาะพันธุ์เพื่อผลิตมัมมี่ที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา การขยายพันธุ์ขนาดใหญ่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทำให้แมวค่อย ๆ เชื่องขึ้นเรื่อย ๆ
จากนั้นแมวก็แพร่กระจายผ่านเส้นทางการค้า มีหลักฐานการพบในสหราชอาณาจักรที่มีอายุย้อนไปได้ถึงยุคเหล็กตอนปลาย และแมวบ้านก็เข้ามาสู่ยุโรปมากขึ้นในช่วงที่กรีกและโรมันมีอำนาจ อย่างไรก็ตามทีมวิจัยเตือนว่า ข้อมูลทางพันธุกรรมจากซากแมวมัมมี่ในอียิปต์ยังไม่ได้รับการวิเคราะห์อย่างน่าเชื่อถือ
“เราเชื่อว่าอียิปต์ยังคงเป็นแหล่งกำเนิดที่ดีที่สุดของแมวบ้าน เนื่องจากมีหลักฐานเชิงสัญลักษณ์ที่มีอยู่มากมาย แต่เราไม่มีข้อมูลทางพันธุกรรมจากอียิปต์ที่จะพิสูจน์ได้” เดอ มาร์ติโน ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนบทความฉบับที่สองกล่าว
“การขาดข้อมูลจีโนมจากแมวโบราณหรือแมวสมัยใหม่ในอียิปต์นั้นเป็นเครื่องหมายคำถามสำคัญที่ต้องได้รับคำตอบ เมื่อรวมข้อมูลนี้เข้าไปแล้ว ก็อาจส่งผลให้การสนับสนุนทางพันธุกรรมกลับไปสู่สมมติฐานการเดินทางออกจากอียิปต์” โลซอส กล่าว
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.discovermagazine.com