วิกฤติ นกทะเล
ลองนึกภาพ นกทะเล สีเทาเหมือนหนู รูปร่างเพรียว ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่านกกิ้งโครง และใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่กลางมหาสมุทรเปิดดูสิ
นกโต้คลื่นสีเขม่าซึ่งเป็นสัตว์เลือดอุ่นหนักไม่ถึง 40 กรัม หากินปลาขนาดเล็กและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ในมหาสมุทร ท่ามกลางเกลียวคลื่นในน้ำเย็นเฉียบและในทุกสภาพอากาศ ด้วยขาที่ห้อยลงและนิ้วตีนที่กรีดไปตามผิวน้ำพวกมันดูราวกับสามารถเดินไปบนน้ำได้อย่างผู้วิเศษ
ในเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งชาติหมู่เกาะแฟราลลอน ห่างจากสะพานโกลเดนเกตในแซนแฟรนซิสโกไปทางตะวันตก 50 กิโลเมตร กลุ่มศิลปินท้องถิ่นสร้างกระท่อมเล็กๆ อย่างหยาบๆ ขึ้นโดยใช้ชิ้นส่วนคอนกรีตจากซากปรักหักพังของอาคารบนเกาะหลัก ประตูบานเล็กในกระท่อมเปิดเข้าไปสู่ช่องแคบที่กรุด้วยพลาสติกใสเพล็กซิกลาส ในคืนฤดูร้อน หากคุณเข้าไปข้างใน แล้วฉายแสงสีแดง (เพราะรบกวนนกน้อยกว่าแสงสีขาว) คุณอาจได้เห็นนกโต้คลื่นสีเขม่ากกไข่อยู่ตรงก้นรอยแยกคุณอาจได้ยินเสียงร้องในเวลากลางคืนจากเพื่อนบ้านของมันตัวหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ ลอดออกมาจากหินเหมือนเสียงจากอีกโลกหนึ่ง นั่นคือโลกของนกทะเลซึ่งโอบล้อมพื้นที่สองในสามของโลก แต่ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ การมองไม่เห็นตัวเป็นข้อได้เปรียบของนกทะเล แต่ปัจจุบัน เนื่องจากสัตว์นักล่าที่รุกรานและการประมงพาณิชย์คุกคามการดำรงอยู่ของนกทะเล พวกมันจำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ให้ช่วยปกป้อง และเป็นเรื่องยากที่จะดูแลสัตว์ที่คุณมองไม่เห็น
หมู่เกาะแฟราลลอนในปัจจุบันเป็นประตูบานเล็กที่เปิดสู่อดีตเมื่อครั้งที่นักทะเลมีอยู่มากมายทุกหนแห่ง ตอนผมไปเยือนเกาะหลักเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2017 มีนกกว่าครึ่งล้านตัวทำรังอยู่ในเขตอนุรักษ์แห่งนี้ นกพัฟฟิน นกกีเลอมอต นกกาน้ำ นกอ็อกเลตสีคล้ำตัวอ้วนกระปุ๊กลุก นกอ็อกเลตโหนกหนาซึ่งมีโหนกหน้าตาประหลาด และนกนางนวลใหญ่อเมริกาตะวันตก อาศัยอยู่ตามลาดเขาชันและพื้นราบที่มีพืชพรรณขึ้นบางตา ล้อมรอบด้วยผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม
นกนางนวลเป็นอุปสรรคที่คุ้มค่ากับการฟันฝ่าเพื่อไปถึงคอโลนีหรือแหล่งรวมฝูงทำรังของนกเมอร์ปากเรียวบนเกาะ เช้าวันหนึ่ง พีต วอร์ซีบอก นักชีววิทยาจากพอยต์บลู ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษ์ที่ช่วยกรมประมงและสัตว์ป่าสหรัฐฯ เฝ้าสังเกตสัตว์ป่าบนหมู่เกาะแฟราลลอน พาผมขึ้นไปยังบังไพรไม้อัดเหนืออาณาจักรของนกเมอร์ นกสีขาวดำ 20,000 ตัวปกคลุมเต็มลาดเนินหินซึ่งทอดตัวลงไปสู่หน้าผาที่คลื่นซัดสาด นกเมอร์มีจะงอยปากเรียวแหลม ลักษณะคล้ายนกเพนกวินยืนเบียดเสียดกันกกไข่หรือปกป้องลูกจากอันตรายในอาณาเขตเล็กๆ เพียง 150 ตารางเซนติเมตร คอโลนีแห่งนี้มีบรรยากาศของความขยันขันแข็งอย่างเงียบๆ สลับกับเสียงร้องนุ่มนวลดังออกมาเป็นช่วงๆ บางครั้งบางคราวนกเมอร์อาจตะลุมบอนกับเพื่อนบ้าน แต่การทะเลาะเบาะแว้งนี้กินเวลาเพียงสั้นๆ แล้วพวกมันก็กลับมาไซ้ขนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ประชากรนกเมอร์ในปัจจุบันคือตัวแทนของเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน แล้วจบลงด้วยดีอย่างน้อยก็ในตอนนี้ ย้อนหลังไปเมื่อสองร้อยปีก่อน หมู่เกาะแฟราลลอนมีนกเมอร์ขยายพันธุ์มากถึงสามล้านตัว ในปี 1849 เมื่อการตื่นทองทำให้แซนแฟรนซิสโกเจริญรุ่งเรือง หมู่เกาะนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดใจสำหรับเมืองที่ไม่มีอุตสาหกรรมสัตว์ปีก พอถึงปี 1851 บริษัทไข่แฟราลลอนเก็บไข่นกเมอร์ปีละห้าแสนฟองเพื่อขายให้แก่ร้านเบเกอรีและภัตตาคาร พนักงานเก็บไข่ของบริษัทแล่นเรือมาถึงเกาะในฤดูใบไม้ผลิ เหยียบย่ำไข่ที่นกวางไว้อยู่ก่อนแล้ว ลงมือเก็บไข่ที่เพิ่งออกใหม่ทุกฟอง ในช่วงครึ่งศตวรรษต่อมา มีการเก็บไข่นกเมอร์อย่างน้อย 14 ล้านฟองจากหมู่เกาะแฟราลลอน ความซื่อสัตย์ต่อแหล่งทำรังทำให้พวกมันหวนกลับมาปีแล้วปีเล่าเพื่อเห็นสิ่งที่พวกมันทุ่มเทให้ถูกปล้นไปต่อหน้าต่อตา
ครั้นล่วงถึงปี 1910 บนเกาะหลักเหลือนกเมอร์ไม่ถึง 20,000 ตัว แม้หลังการเก็บไข่สิ้นสุดลงแล้ว นกเมอร์ยังตกเป็นเหยื่อของแมวและสุนัขที่ผู้ดูแลประภาคารของเกาะนำเข้าไป ประชากรนกเมอร์ไม่ฟื้นตัวอย่างจริงจังจนกระทั่งหลังปี 1969 เมื่อเกาะหลักได้รับการจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าของรัฐบาลกลาง
นกเมอร์ที่เกาะแฟาราลลอนจัดว่าโชคดี พวกมันรอดชีวิตมาได้จากภัยคุกคามหลักๆ ที่มีต่อนกทะเล ในที่อื่นๆ ทั่วโลกช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ประชากรนกทะเลโดยรวมได้รับการประเมินว่าลดลงร้อยละ 70 ตัวเลขนี้แย่กว่าที่คิดมาก เพราะจำนวนชนิดนกทะเลที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์นั้นไม่สมสัดส่วน กล่าวคือจากนกทะเล 360 ชนิดในโลก ชนิดที่จัดว่าใกล้สูญพันธุ์หรือถูกคุกคามมีอัตราส่วนมากกว่ากลุ่มนกอื่นๆ ที่เทียบเคียงกันได้
เรื่อง โจนาทาน แฟรนเซน
ภาพถ่าย ทอมัส พี. เพสแชก
อ่านเพิ่มเติม