“สัตว์กินซาก ผู้ทำความสะอาดของโลกกำลังมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ
และนั่นทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเสี่ยง”
เมื่อคิดถึงธรรมชาติที่สวยงาม ซากสัตว์อาจไม่ใช่สิ่งแรกที่นึกถึง เราส่วนใหญ่มักจินตนาการถึงต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ และความเขียวขจี ซึ่งเชื่อว่าภาพดังกล่าวนั้นไม่มีซากสัตว์ที่เสียชีวิตอยู่ และในโลกแห่งความเป็นจริงเราก็แทบไม่เห็นสัตว์ที่ตายแล้วตามที่ต่าง ๆ
พวกมันหายไปไหน? คำตอบก็คือ นักกินซาก (scavengers) ที่คอยทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา โดยสิ่งมีชีวิตที่สังเกตเห็นและรู้จักกันทั่วไปมากที่สุดก็คือ แร้ง พวกมันกินซากสัตว์ที่ตายแล้วเท่านั้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างนั้นจะเน่าเปื่อย
“ผมเคยสังเกตเห็นด้วยตาตัวเองว่าแร้งแอนดีส (Vultur gryphus) จำนวน 8-10 ตัว กำจัดซากหมูป่าทั้งตัวในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง” ปาโบล พลาซา (Pablo Plaza) นักปักษีวิทยาและสัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัย Universidad Nacional del Comahue ในอาร์เจนตินา ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ กล่าว
มีการประเมินกันว่าแค่ แร้งไก่งวง (turkey vultures) แค่สายพันธุ์ก็สามารถกินเนื้อที่ตายแล้วได้มากถึง 1.5 ล้านตันต่อปี และซากสัตว์กว่าร้อยละ 75 ในอเมริกาและยุโรปก็ได้รับการทำความสะอาดด้วยสัตว์กินซากเหล่านี้ วิธีนี้มีประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองหาซากจากอากาศ
อย่างไรก็ตามแร้งไม่ใช่สัตว์กินซากเพียงชนิดเดียวในธรรมชาติ งานวิจัยก่อนหน้าในปี 2021 เผยให้เห็นว่าไฮยีน่าลายจุด (Crocuta crocuta; ไฮยีน่าไม่ได้กินซากเป็นหลัก พวกมันล่าเหยื่อกินเองด้วย) ในเมืองเมเคเล ประเทศเอธิโอเปีย ช่วยจัดการซากจากปศุสัตว์ได้ 200 ตันต่อปี
ซึ่งผลกระทบนั้นใหญ่หลวง ข้อมูลระบุว่าการกระทำของไฮยีน่าช่วยให้โรคแอนแทรกซ์และวัณโรคในวัวไม่สามารถแพร่กระจายเข้าสู่มนุษย์ได้ประมาณ 5 ครั้ง และป้องกันการระบาดในปุศสัตว์ได้ 140 ครั้ง การกำจัดซากของนักกินซากเหล่านี้จึงมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพมนุษย์
“เราสนใจที่จะพยายามขยายขอบเขตให้ใหญ่ขึ้นในระดับโลก” ชินเมย์ โซนาวาเน (Chinmay Sonawane) นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ผู้เขียนรายงาน กล่าว
น่าเศร้า
ทีมวิจัยได้รวบรวมรายงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับสัตว์มีกระดูกสัน โดยรวมแล้วพวกเขาพบว่ามีอยู่ราว 1,376 สายพันธุ์ที่ทราบว่าเป็นนักกินซาก จากนั้นก็นำไปตรวจสอบกับข้อมูลของบัญชีแดงแห่งสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)
พฤติกรรมของนักกินซากที่แท้จริงนั้นโดดเด่นเช่น สุนัขจรจัด แร้ง หรือหนู แต่สัตว์กินพืชหลายชนิดเช่น ควาย ปลานกแก้ว และกระรอกนั้นกินซากบ้าง 1-2 ชิ้น ดังนั้นจึงมีไม่กินสายพันธุ์จริง ๆ ที่บริโภคซากเป็นอาหารหลัก โดยรวมแล้วมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่กินตามธรรมชาติ
ประมาณร้อยละ 50 เป็นสัตว์กินซากตามโอกาสบางครั้ง และอีกร้อยละ 49 ไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าพวกมันกินซากไปมากน้อยเท่าไหร่ แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือในร้อยละ 1 นั้นมี 36 เปอร์เซ็นที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์โดยมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ครึ่งหนึ่งของ 17 สายพันธุ์ (ใน 36%) อยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์หรือใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง โดยมีสาเหตุจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่นการทำฟาร์มปศุสัตว์ที่ใช้สารเคมีจนอาจทำให้สัตว์กินซากตายอย่างไม่ได้ตั้งใจและรวมถึงการค้าขายสัตว์ป่าที่เลวร้าย
“เมื่อเราอ่านเอกสารต่าง ๆ ก็พบว่ามีรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันว่า สัตว์กินซากตามโอกาสไม่สามารถทดแทนสัตว์กินซากแท้ ๆ ได้ทั้งหมด” โซนาวาเน กล่าว
สัตว์กินซากขนาดเล็กจำเป็นต้องติดตามสัตว์กินซากขนาดใหญ่กว่าในการช่วยหาอาหาร แต่ประเด็นก็คือ สัตว์ขนาดเล็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะแพร่โรคสู่คนได้มากขึ้น เช่น งานวิจัยพบว่าประชากรหนูที่เพิ่มขึ้นมีความเกี่ยวข้องกับการระบาดของฉี่หนู
และตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดกก็คือ ประชากรแร้งอินเดียที่ลดลง ประชากรสุนัขจรจัดก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าระบาดเป็นวงกว้าง ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากถึง 50,000 คน ผ่านการกัดของสุนัขจรจัดกว่า 39 ล้านครั้ง
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของประชากรแร้งนี้ทำให้โรคแพร่กระจายไปสู่สิ่งแวดล้อมและเมืองที่ไม่สามารถต้านทานโรคได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีแค่เพียงโรคพิษสุนัขบ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และสารพิษอื่น ๆ ที่โดยปกติแล้วแร้งจะจัดการให้หมดภายในระบบย่อยอาหารของมันเอง
“เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมว่าการลดลงของสัตว์กินซากสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ได้อย่างไร” พลาซา กล่าวทิ้งท้าย เขาหวังว่าการศึกษาประเภทนี้จะช่วยให้ผู้คนมองเห็นสัตว์เหล่านี้ด้วยความรังเกียจน้อยลง และรู้สึกขอบคุณมากขึ้น
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://education.nationalgeographic.org