ผลวิจัยใหม่ชี้ ปลาอาจทรมานนานถึง 22 นาที ก่อนหมดสติ หลังถูกจับขึ้นจากน้ำ

ผลวิจัยใหม่ชี้ ปลาอาจทรมานนานถึง 22 นาที ก่อนหมดสติ หลังถูกจับขึ้นจากน้ำ

“ผลวิจัยใหม่ระบุ การจับปลาขึ้นมาจากน้ำ ทำให้มันต้องทรมาน นาน 22 นาทีก่อนจะตาย”

ปลาเป็นหนึ่งอาหารสำคัญของมนุษย์ทั่วโลก โดยมีปลาที่เลี้ยงตามธรรมชาติกว่า 2.2 ล้านล้านตัว และปลาที่เลี้ยงไว้ในฟาร์มอีกกว่า 171,000 ล้านตัวถูกจับขึ้นมาทุกปีเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะเสียชีวิตลงอย่างแน่นอนเพราะขาดอากาศหายใจ 

แต่นี่เป็นครั้งแรกสุดที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าวิธีดังกล่าวนี้ ได้สร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงให้กับปลานานถึง 22 นาทีก่อนที่มันจะตาย ซึ่งถือเป็นความทุกข์ทรมานที่ควรได้รับการเห็นใจและการปรับปรุงที่ดีขึ้น เพื่อปลาจะได้มีสวัสดิภาพอย่างที่มันควรจะได้ก่อนเสียชีวิต

“ความกังวลของสังคมเกี่ยวกับผลกระทบในด้านการปฏิบัติผลผลิต(ทางอาหาร)ต่อสวัสดิภาพสัตว์กำลังเพิ่มขึ้น ดังที่เห็นได้จากกระแสที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค ความพยายามในการติดฉลาก โครงการรับรอง นโยบาย และกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์เป็นอันดับแรก” รายงานระบุ 

“ผลการศึกษาของเราได้ประเมินเชิงปริมาณครั้งแรกเกี่ยวกับความเจ็บปวดระหว่างการฆ่าปลา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตการปรับปรุงสวัสดิภาพสัตว์ที่เป็นไปได้โดยใช้วิธีการทำให้สัตว์อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น” พวกเขาเสริม 

ปลาทรมานอย่างไร?

รายงานให้ที่เผยแพร่บนวารสาร Scientific Reports ซึ่งนำโดย ซินเธีย ชัค-แพม (Cynthia Schuck-Paim) ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันรอยเท้าเพื่อสวัสดิภาพ (Welfare Footprint Institute; WFI) ได้ตรวจสอบกรอบแนวทางดำเนินงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ หรือ WFF (Welfare Footprint Framework) 

โดยหวังว่า WFF นี้ทำให้ช่วยให้ผู้ที่ทำงานกับสัตว์เช่น นักชีววิทยา สัตว์แพทย์ ผู้ดูแลในสวนสัตว์ เกษตรกร ฯลฯ สามารถเปรียบเทียบและปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของสัตว์ได้ ทีมวิจัยได้วิเคราะห์เอกสารทาวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ในด้านนี้ เพื่อสร้างภาพโดยละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ของปลาที่อยู่บนบก

ซึ่งพบว่า การสัมผัสกับอากาศเพียง 5 นาที จะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทางเคมีในระบบประสาทที่อาจสร้างพฤติกรรมที่ดูเป็นเชิงลบเช่น การบิดตัวอย่างรุนแรง และหมุนตัว โดยแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง 

ทีมวิจัยระบุว่า หากไม่มีน้ำ โครงสร้างเหงือกที่บอบบางซึ่งเป็นอวัยวะที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ จะเกาะติดกัน ทำให้มีการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจ ระดับที่เพิ่มขึ้นนี้จะกระตุ้นให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า โนซิเซ็ปชัน (nociception) ซึ่งเป็นกระบวนการทางระบบประสาทที่จะระบุว่าสิ่งใดคืออันตราย และการสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ปลาตกอยู่ในอันตราย

ท้ายที่สุดปลาจะหายใจไม่ออก ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นจะทำให้เลือดและน้ำไขสันหลังของปลามีความเป็นกรดมากขึ้น จนหมดสติหรือเสียชีวิตในเวลาต่อมา ปัญหาก็คือ ช่วงเวลาก่อนที่ปลาจะหมดสตินั้นเป็นช่วงที่ ‘ทุกข์ทรมาน’ ที่สุด โดยยาวนานแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของปลาและสภาพแวดล้อมที่จับปลาขึ้นมา ตั้งแต่ 2 นาทีถึง 22 นาที

“เมื่อปรับมาตรฐานตามผลผลิตที่ผลิตได้ ก็จะสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยที่ 24 นาทีต่อกิโลกรัม โดยมีอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงเกินหนึ่งชั่วโมงต่อกิโลกรัมในบางกรณี” ผุ้เขียนระบุ

จะมีทางอื่นที่ดีกว่าไหม?

ทีมวิจัยได้เสนอทางเลือกอื่นในการฆ่าปลาอย่างมนุษยธรรมมากขึ้น นั่นคือ การช็อตไฟฟ้า ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ 60 ถึง 1,200 นาทีต่อต้นทุนการลงทุน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ 

ยังไงก็ตามมีข้อที่น่ากังวลอยู่หลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือความไม่แน่นอนของการช็อตไฟฟ้าที่อาจให้ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอ แทนที่สัตว์จะได้รับความเสียหายและหมดสติไปในทันที ทว่าบางครั้งก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ขณะเดียวกันกิจกรรมก่อนนำไปชำแหละหรือขายเช่น ความแออัดของปลาในการขนส่ง ก็มักถูกมองข้ามไปซึ่งอาจทำให้เกิดความทุกข์ทรมานสะสมนานกว่าเดิม แม้ว่าจะเป็นการยากมากที่จะประเมินความเจ็บปวดของปลาในมุมมองมนุษย์ได้ แต่เราก็สามารถใช้ความรู้เหล่านี้เพื่อปรับปรุงดูแลอาหารของเราให้ดีขึ้นได้ 

“คล้ายกับการวิเคราะห์วงจรชีวิต WFF เริ่มต้นด้วยการกำหนดขอบเขตของการวิเคราะห์ ตามด้วยการสำรวจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง (เช่นขั้นตอนการจัดการ ที่อยู่อาศัย ความหนานแน่น คุณภาพ อากาศ/น้ำ) และผลลัพธ์ทางชีวภาพ (เช่น การบาดเจ็บ โรค ความขาดแคลน) ในกรอบเวลาที่น่าสนใจ” ทีมวิจัยเขียน

“ผลลัพธ์ทางชีวภาพเหล่านี้ต่อสวัสดิการจะได้รับการประเมินโดยการประมาณความรุนแรง และระยะเวลาของประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละประสบการณ์ (เช่น ความเจ็บปวดทางร่างกาย ความกลัว หรือความสุข) โดยใช้หลักฐานที่มีอยู่จากแนวทางการวิจัยหลายสาขา” 

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.nature.com

https://www.sciencealert.com

https://phys.org

https://www.iflscience.com


อ่านเพิ่มเติม : มนุษย์ทำอะไร ยีราฟถึงกำลังหายไปจากแอฟริกา

Recommend