“เมื่อสองพันปีก่อน กองทัพโรมันออกเสาะหาแร่เงินในที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
เพราะความหัวรั้นของนักโบราณคดีสมัครเล่นผู้หนึ่ง
ปัจจุบันเราจึงรู้ว่า พวกเขาเฉียดฉิวเพียงใดที่จะ
ค้นพบขุมทรัพย์ที่อาจพลิกชะตาจักรวรรดิได้”
เนื้อความท่อนนั้นอาจเล็ดลอดสายตาได้ง่ายมาก เกร็ดสั้นๆ เพียงหนึ่งย่อหน้าในพงศาวดารบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์โรมันชื่อ ทากิตุส บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่พบในที่อื่นใด โดยกล่าวถึงผู้บัญชาการกองทหารผู้ไม่เป็นที่นิยมชมชอบรายหนึ่ง ที่บังคับให้กองทหารใต้บังคับบัญชาทำเหมืองเสี่ยงภัยแห่งหนึ่งในแถบชายแดนจักรวรรดิ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิเกลาดิอุส (ค.ศ. 41-54) ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการขยายอำนาจอย่างบ้าคลั่ง เมื่อโรมมุ่งกลืนกินเหล่าดินแดนชายขอบและทรัพยากรของพวกเขา ทากิตุสกล่าวถึงที่ตั้งของเหมืองดังกล่าวอย่างคลุมเครือโดยระบุเพียงว่า “อยู่ในเขตแมตตีอุม” ซึ่งตั้งอยู่นอกแดนติดกับมณฑลเจอร์มาเนียเหนือที่โรมันยึดครองอยู่แต่เป้าหมายนั้นชัดเจนว่า นั่นคือเสาะหาโลหะชนิดหนึ่งที่เป็นขุมพลังขับเคลื่อนอาณาจักร
โลหะเงินจะซื้อขายหรือเปลี่ยนมือจากชนชั้นขุนนาง ข้าราชการและทหาร ลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เหลือทั้งหมดในรูปเหรียญกษาปณ์ เงินแท่ง และเครื่องประดับ เหรียญกษาปณ์ไม่ได้เป็นเพียงเงินตรา แต่ละเหรียญที่ประทับด้วยภาพด้านข้างของจักรพรรดิ ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจ ขณะที่มันหมุนเวียนไปทั่วแผ่นดิน
ตามคำบอกเล่าของทากิตุส กองทหารโรมันภายใต้การนำของเคอร์เชียส รูฟัส อยู่ในสภาพ “อ่อนล้า” จากการกรำงานเหมืองที่ทั้งเหนื่อยยาก สกปรก และอันตราย โดยต้อง “ขุดทางน้ำและสร้างทางใต้ดิน ซึ่งหากเป็นพื้นที่กลางแจ้งก็ยากลำบากยิ่งแล้ว” นับประสาอะไรกับการทำงานท่ามกลางความมืดอับ ขาดอากาศ และมีเพียงแสงตะเกียงน้ำมันริบหรี่เป็นระยะๆ ท้ายที่สุด ภารกิจค้นหาแร่เงินครั้งนั้นก็ยุติลง และค่ายทหารก็ถูกรื้อถอนออกไป
เรื่องเล่าของทากิตุสสร้างความฉงนให้นักวิชาการด้านคลาสสิกมาเนิ่นนานแล้ว เพราะไม่พบหลักฐานหรือการกล่าวถึงภารกิจดังกล่าวในที่อื่นใด นักวิชาการบางคนถึงกับบอกว่าเป็นแค่เรื่องเล่าสร้างสีสัน แต่ไม่สามารถตรวจสอบหรือยืนยันได้
แต่การค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้โลกโบราณคดี บ่งชี้ว่า ทากิตุสเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง รูฟัสกับทหารของเขาน่าจะออกค้นหาแร่เงินจริง แต่ถอนกำลังออกไปก่อนจะพบขุมแร่ขนาดใหญ่ ปัจจุบันเรารู้แล้วว่า แร่เงินในภูมิภาคนั้นมีปริมาณมากพอจะเปลี่ยนโฉมหน้าของจักรวรรดิโรมันได้ แต่ผลกระทบใหญ่หลวงของโอกาสที่หลุดมือไปจะยังไม่ปรากฏชัดกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา หลังจากพรานชาวเยอรมันผู้อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งมุ่งมั่นที่จะปะติดปะต่อปริศนาทั้งหมดเข้าด้วยกันจนสำเร็จ

ค่ำคืนอากาศเย็นสบายวันหนึ่งของเดือนเมษายนปี 2016 อดีตพลร่มวัย 72 ปี ชื่อ เยอร์เกน ไอเกนบรอดกำลังแกะรอยตามหมูป่าบนเนินเขารอบบาดเอมส์ เมืองสปาเก่าแก่ในรัฐไรน์แลนด์-พาลาทิเนต เขาสังเกตเห็นลวดลายผิดปกติในทุ่งธัญพืชผืนหนึ่ง เป็นเส้นแถบสีเหลืองๆ ขนานกันสองเส้นพาดตัดทุ่งสีเขียว
แม้จะเป็นมือสมัครเล่น แต่เขารู้ได้ทันทีว่า รอยตัดในทุ่งพืชเป็นสัญญาณชัดเจนของโครงสร้างที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ โดยยึดหลักการสำคัญทางโบราณคดีข้อหนึ่ง กล่าวคือ ไม่มีเส้นตรงในธรรมชาติ อะไรสักอย่างใต้ดินทำให้ความหนาแน่นของดินเปลี่ยนไป ส่งผลให้พืชพรรณที่ผิวดินเติบโตในอัตราไม่เท่ากัน แต่สิ่งนั้นคืออะไร
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เขาขอให้เพื่อนเก่า ฮันส์-โยอาคิม ดูรัว ผู้บังคับการเรือฟริเกตวัยเกษียณ และหลงใหลในประวัติศาสตร์เช่นกัน ให้มาช่วยถ่ายภาพทุ่งดังกล่าวจากมุมสูงด้วยโดรนของเขา ภาพถ่ายทางอากาศนั้นเผยให้เห็นเส้นแถบคู่ขนานหักเลี้ยวเป็นมุมฉาก ตรงมุมมนโค้งเหมือนไพ่ ไอเกนบรอดหัวใจเต้นรัวเมื่อเห็นภาพนั้นเขาเคยเห็นภาพโครงสร้างลักษณะนี้มาก่อน มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นได้ เส้นแถบดังกล่าวเป็นร่องรอยที่ชัดเจนของคูป้องกันคู่ขนานที่ทหารโรมันมักขุดล้อมค่ายทหารตามชายขอบของจักรวรรดิ
งานของไอเกนบรอดเพิ่งจะเริ่มต้น “เขาต้องไปโน้มน้าวนักโบราณคดีประจำรัฐไรน์แลนด์-พาลาทิเนตในเมืองโคเบล็นทซ์ให้เริ่มขุดค้น” ดูรัวเล่าและเสริมว่า “เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาเลยครับงานนี้” หลังจากถูกไอเกนบรอดตื้อจนเหนื่อยหน่าย ในที่สุด กรมโบราณคดีของรัฐก็ยอมจัดให้มีการสำรวจสนามแม่เหล็กโลกของพื้นที่โดยรอบในเขตที่เรียกว่าที่ราบสูงแอร์ลิช การวัดความแปรผันที่มีค่าต่างเล็กน้อยยิ่งยวดในสนามแม่เหล็กโลกเผยให้เห็นแนวคูคู่ขนานอีกหลายช่วงซึ่งยืนยันว่า มันเป็นคูรอบปริมณฑลของค่ายทหารโรมันขนาดราว 48 ไร่ ที่เสริมด้วยป้อมปราการก่อจากดินและไม้
การขุดค้นค่ายแอร์ลิชเริ่มขึ้นในปี 2017 โดยมีนักโบราณคดี โทมัส เมาเรอ เป็นหัวหน้าทีม และกำกับดูแลโดย ปีเตอร์ เฮนริช จากพิพิธภัณฑ์รัฐไรน์ลันท์ในเมืองเทรียร์ และมาร์คุส ชอลส์ จากมหาวิทยาลัยเกอเทอในแฟรงก์เฟิร์ต ในตอนแรกพวกเขาเชื่อว่าค่ายนี้มีอายุในยุคจักรพรรดิเอากุสตุส (27 ปีก่อน ค.ศ. – ค.ศ. 14) และอาจเป็นหนึ่งในค่ายพักแรมชั่วคราวระหว่างเดินทัพที่ค้นพบมากมายทั่วทวีปยุโรป แต่เฟรเดอริก เอาท์ นักศึกษาปริญญาเอกภายใต้การดูแลของชอลส์ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ในแง่ของการค้นพบทางโบราณคดี ค่ายพวกนี้ “ไม่น่าตื่นเต้นเท่าใดนัก”

ในสายตานักโบราณคดีมืออาชีพ สมมติฐานของไอเกนบรอดสะท้อนความไร้เดียงสาน่าเอ็นดูของมือสมัครเล่นนักโบราณคดีหลายคนบอกเขาว่า นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการในโลกแห่งความเป็นจริง“การเชื่อมโยงโบราณคดีกับวรรณกรรมประวัติศาสตร์เป็นเรื่องยากมากครับ” เอาท์อธิบาย “และเรามักระวังอย่างมากที่จะไม่ตีความเกินเลยไปจากวรรณกรรมดังกล่าว เพราะทากิตุสไม่เคยเห็นเยอรมันยุคโรมันด้วยตาตนเอง”
ในบรรดาศิลปวัตถุอื่นๆ ที่พบ การขุดค้นเผยให้เห็นห่วงทองเหลืองวงหนึ่งจากบังเหียนม้า ตะปูเหล็กและกากแร่ แต่แทบไม่มีสิ่งใดที่อาจใช้ระบุอายุของค่ายได้อย่างถูกต้อง เบาะแสดีที่สุดที่นักโบราณคดีหาได้ คือเหรียญกษาปณ์สำริดผุกร่อนอย่างมากเหรียญหนึ่งซึ่งมีภาพด้านข้างของจักรพรรดิกาลิกุลาที่แทบดูไม่ออกประทับอยู่ ชัดเจนว่าผลิตขึ้นในโรมเมื่อปี 37 หรือ 38 จากนั้นก็มีการค้นพบเหรียญโลหะผสมทองแดงอีกเหรียญหนึ่งจากรัชสมัยต่อมาของจักรพรรดิเกลาดิอุสในบริเวณที่เคยเป็นก้นบ่อน้ำ เหรียญกษาปณ์สามารถหมุนเวียนใช้งานได้เป็นเวลานาน โดยเฉพาะในรัชสมัยเกลาดิอุส ซึ่งผลิตออกมาค่อนข้างน้อย ทำให้ยากที่จะกระชับเวลาให้แคบเข้ามาได้ แต่เมื่อรวมกับเศษเครื่องปั้นดินเผาที่พบ รวมถึงจานและเหยือกที่มีลักษณะเฉพาะของช่วงกลางศตวรรษที่หนึ่ง การค้นพบเหล่านี้ทำให้ทีมระบุอายุค่ายแอร์ลิชว่าอยู่ในช่วงทศวรรษ 40 หรือต้นทศวรรษ 50 กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตรงกับกลางช่วงเวลาที่ทากิตุสเขียนถึงในพงศาวดารพอดิบพอดี
แต่ทฤษฎีของไอเกนบรอดยังไม่ได้รับการพิสูจน์ กรอบเวลาของค่ายแอร์ลิชอาจสอดคล้องกับทากิตุสก็จริงแต่หากไม่มีหลักฐานของเหมืองเงินโรมันร่วมยุคเดียวกัน ก็อาจเป็นเพียงความบังเอิญที่น่าฉงนเท่านั้น การหาหลักฐานดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องง่าย พื้นที่รอบเมืองบาดเอมส์มีการทำเหมืองแร่โลหะหลายชนิดมาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ภูมิประเทศดาษดื่นไปด้วยหลุม ปล่อง และอุโมงค์ ซึ่งหลายแห่งยังสามารถเข้าถึงได้ “หลุมพวกนี้จำนวนหนึ่งอาจมีต้นกำเนิดจากยุคโรมัน” ชอลส์กล่าว “แต่สัณฐานอาจเปลี่ยนไปในยุคกลางหรือในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา”
แทนที่จะพยายามมองหาเหมืองที่ยังไม่ถูกค้นพบในภูมิประเทศเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ไอเกนบรอดยืนกรานขอให้นักโบราณคดีมุ่งความพยายามไปที่แหล่งโบราณคดีโรมันในละแวกใกล้เคียงอีกแห่งที่รู้จักกันมานานแล้วแทน ซึ่งก็คือ ซากป้อมประการขนาดเล็กบนยอดเนินโล่งเตียนห่างออกไปราวสองกิโลเมตรครึ่งที่มีชื่อว่า โบลสค็อพฟ์ (แปลตรงตัวว่า “หัวโล้น”) แหล่งดังกล่าวเคยเป็นหัวข้อในการศึกษาปี 1897 ของพันโทเกษียณอายุชื่อ ออตโต ดาห์ม ซึ่งเช่นเดียวกับไอเกนบรอด เขาเชื่อว่าได้ค้นพบเหมืองเงินลึกลับที่ตากิตุสกล่าวถึง ดาห์มสรุปไว้ว่า โบลสค็อพฟ์เคยเป็นสถานที่ถลุงแร่จริง และมีอายุอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่สอง ซึ่งห่างไกลมากจากช่วงเวลาที่ตากิตุสมีชีวิตอยู่

ตามคำแนะนำของไอเกนบรอด เอาท์หันกลับมาพิจารณาโบลสค็อพฟ์อีกครั้ง เขาพบว่ารายงานสมัยศตวรรษที่สิบเก้าของดาห์มนั้น “ค่อนข้างเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด” เผยการค้นพบเพียงน้อยนิด และหละหลวมในเชิงระเบียบวิธีวิจัย ด้วยความเข้มงวดทางวิชาการโบราณคดีที่สูงกว่ามาก ตลอดจนเทคโนโลยีที่ไม่มีในยุคของดาห์ม ซึ่งรวมถึง การใช้ไลดาร์สร้างแผนที่ใต้ดิน เอาท์นำทีมขุดค้นครั้งใหม่ที่นำไปสู่การค้นพบเหรียญกษาปณ์คู่หนึ่งจากยุคจักรพรรดิเกลาดิอุสหรือก่อนหน้านั้น และไม่พบเหรียญใดเลยจากรัชสมัยถัดมาของจักรพรรดิเนโรผู้เป็นพระโอรสบุญธรรม
เหรียญกษาปณ์เหล่านั้นยืนยันว่า ค่ายแอร์ลิชขนาดใหญ่โตและด่านชั้นนอกขนาดเล็กกว่าที่โบลสค็อพฟ์นั้นร่วมสมัยเดียวกัน และเป็นไปได้มากว่าจะเชื่อมโยงกัน ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างที่โบลสค็อพฟ์ตั้งอยู่ในทำเลที่ปัจจุบันรู้กันดีว่ามั่งคั่งด้วยแหล่งแร่เงิน นักขุดแร่ยุคโรมันน่าจะอาศัยเบาะแสหลายอย่างในภูมิประเทศดังกล่าวเพื่อประเมินว่าโบลสค็อพฟ์มีศักยภาพมากพอที่จะทำเหมืองหรือไม่ ส่วนค่ายแอร์ลิชที่มีขนาดใหญ่กว่าน่าจะทำหน้าที่เป็นฐานปฏิบัติการหลักของโรมันในพื้นที่ และคอยส่งกำลังบำรุงให้กองทหารที่ทำงานในเหมืองที่โบลสค็อพฟ์และด่านชั้นนอก ต่อมาไอเกนบรอดจึงนำเอาท์ไปดูอุโมงค์ที่เจาะผ่านเนินโบลสคอพฟ์ พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำเหมืองยุคโรมัน มาร์คุส เฮลเฟิร์ท ซึ่งยืนยันว่าเป็นอุโมงค์ที่มีจุดกำเนิดในยุคโรมันเกือบจะไร้ข้อกังขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ฝ่ายนักโบราณคดียอมรับว่า ไอเกนบรอดคิดถูกมาตลอด เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าค่ายเหล่านี้คือสถานที่ที่ตากิตุสเขียนถึง

การค้นพบที่อาจยืนยันเรื่องเล่าของตากิตุสได้นี้ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า ทหารของรูฟัสเกือบจะพบขุมเงินปริมาณมากเท่าใด การศึกษาโบลสค็อพฟ์ของเอาท์เผยว่า พวกโรมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมจากสายแร่เงินที่อาจมีปริมาณมากพอๆ กับเหมืองที่มั่งคั่งที่สุดในฮิสปาเนีย ซึ่งก็คือแหล่งที่เรียกกันว่า เอมเซอร์กังซูก หรือสายแร่เอมส์ที่ทอดยาว 16 กิโลเมตรจากตอนเหนือของบาดเอมส์ไปจรดแม่น้ำไรน์ ประเมินกันว่ามีการสกัดแร่เงินมากกว่า 200 ตันในยุคสมัยใหม่ ก่อนที่กิจการเหมืองในบาดเอมส์จะปิดตัวลงในท้ายที่สุดในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของสงครามโลกครั้งที่สอง
“หากพวกเขารู้ว่ามีแหล่งแร่เงินนี้อยู่ตรงนั้น และหากพวกเขาเจอจุดที่ใช่” เอาท์ตั้งข้อสังเกต พวกโรมัน “น่าจะมีโอกาสแสวงประโยชน์จากขุมเงินบาดเอมส์ได้นานถึงประมาณ 200 ปี หากไม่ละทิ้งดินแดนทางฝั่งนี้ของแม่น้ำไรน์ไปเสียก่อน”
กองทัพโรมันควบคุมมณฑลเจอร์เมเนียเหนือไว้ได้อย่างมั่นคง แต่ไม่ใช่กับโบลสค็อพฟ์ พวกเขาถอยทัพไปทางตะวันตกของแม่น้ำไรน์ราวปี 260 หรือสองศตวรรษก่อนที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกจะล่มสลาย จึงน่าคิดว่าขุมเงินมหาศาลนี้อาจช่วยให้โรมขยายอำนาจหรือดำรงคงอยู่ได้อีกยาวนานเพียงใด หรืออาจกระทั่งเร่งให้เสื่อมถอยเร็วขึ้น จะเป็นอย่างไรหากกองทหารโรมันประสบความสำเร็จในการสกัดขุมเงินทั้งหมดที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขามัน “อาจไม่เพียงพอที่จะใช้ค้ำจุนจักรวรรดิโรมันทั้งหมดได้” เป็นเวลาหลายศตวรรษ “แต่มากพอจะสร้างความแตกต่างได้อย่างแน่นอน” เอาท์กล่าว แต่เขาเตือนให้ตระหนักด้วยว่า สายแร่ที่มีเงินผสมอยู่นั้นน่าจะอยู่ลึกเกินกว่าเทคโนโลยีโรมันในสมัยนั้นจะเข้าถึงได้ ทางการโรมันคงไม่มีเหตุผลที่จะโอ้เอ้อยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม หากไม่พบทรัพยากรที่พวกเขาสามารถแสวงประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย
เยอร์เกน ไอเกนบรอดเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี 2023 เพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวอย่างน่าตื่นเต้นที่เน้นถึงความย้อนแย้งของขุมเงินมหาศาลที่ถูกมองข้าม แม้จะไม่กี่วัน แต่เขายังมีชีวิตอยู่ทันได้ชื่นใจกับเกียรติยศจากคุณูปการของเขาที่มีต่อวงการโบราณคดีและประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับชาวโรมันเมื่อ 2,000 ปีก่อน เขาได้มองผืนดินตรงนั้นด้วยความคาดหวังถึงความมั่งคั่งที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง แต่ต่างจากพวกโรมัน เขาพบสิ่งที่ตามหามาตลอดแล้ว
เรื่อง จูเลียน แซงตัน
ศิลปกรรม อาเรีย ซาร์ฟาซาเดกัน
แปล อัครมุนี วรรณประไพ