จาก เตหะราน สู่ มักราน เมืองหลวงใหม่อิหร่าน ถอดบทเรียน การย้ายแก้ปัญหาเมืองแออัดได้จริงหรือ

จาก เตหะราน สู่ มักราน เมืองหลวงใหม่อิหร่าน ถอดบทเรียน การย้ายแก้ปัญหาเมืองแออัดได้จริงหรือ

รัฐบาลอิหร่านกำลังมีแนวคิดย้ายเมืองหลวงไปที่ มักราน (Makran) เมืองในพื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้แทน กรุงเตหะราน ซึ่งกำลังเผชิญกับสารพัดปัญหา โดยเฉพาะประชากรที่มีจำนวนสูงขึ้นจนเกินขีดจำกัด

กรุงเตหะราน คือเมืองหลวงใจกลางประเทศและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอิหร่านมายาวนานกว่า 200 ปี โดย 1 ใน 9 ชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์  รวมถึงเป็นชาติที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์มากที่สุดในโลกอย่างอิหร่านกำลังวางแผนขยับตัวครั้งใหญ่ด้วยการย้ายเมืองหลวงไปที่ เมืองมักราน แทน ภายใต้การนำของ มาซูด เปเซชเคียน ประธานาธิบดีอิหร่านคนล่าสุด

ทั้งนี้ 4 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลอิหร่านเตรียมการย้ายเมืองหลวงคือ การเลี่ยงความเสี่ยงต่อภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวใหญ่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาระบุว่า กรุงเตหะรานตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแผ่นดินไหวมากกว่า 100 รอยเลื่อน ซึ่งอาคารหลายแห่งในเมืองหลวงอาจไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้ และหากมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่จะสร้างความเสียหายมหาศาลจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของโลก ถ้ายังไม่มีการจำกัดหรือลดจำนวนประชากรในพื้นที่

ต่อมาเป็นปัญหาความหนาแน่นของประชากรที่สูงกว่า 8.7 ล้านคน ในเขตนครเตหะราน และอาจมากถึง 15 ล้านคนหากรวมคนเตหะรานกับประชากรแฝงในพื้นที่เขตปริมณฑล , จากปริมาณพลเมืองที่เพิ่มขึ้นจนเกินการควบคุม นำมาซึ่งปัญหาอีกอย่างคือการขาดแคลนทรัพยากร โดยเฉพาะทรัพยากรนํ้ากับพลังงาน ไฟฟ้าเริ่มไม่เพียงพอทั้งที่อิหร่านเป็นชาติผู้ผลิตนํ้ามัน เพราะมีปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรให้เพียงพอกับประชาชนจำนวนมาก ขณะเดียวกันตัวเมืองเองก็เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว การจราจรติดขัด มีอาชญากรรมสูง และกำลังเจอปัญหามลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง

ปัจจัยสุดท้ายที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการย้ายเมืองหลวงตามยุทธศาสตร์ใหม่ โดย Geopolitics หรือ ภูมิรัฐศาสตร์ กำลังได้รับความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งเดิมที เตหะราน ก็ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ที่ดีนัก แม้ว่าจะอยู่ในชัยภูมิที่ค่อนข้างเป็นพื้นที่ใจกลางประเทศ แต่กลับอยู่ไม่ไกลจากประเทศที่เป็นศัตรูทางการเมืองสำคัญอย่าง อิสราเอล หรือ อิรัก ในแถบตะวันออกกลาง

ทำไม มักราน จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการยกระดับเป็นเมืองหลวงใหม่อิหร่าน

มักราน อดีตหมู่บ้านชาวประมงที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่โยงใยไปถึงสมัยที่อเล็กซานเดอร์มหาราชบุกมาโจมตีเปอร์เซียในยุคก่อนคริสตกาล ถูกเลือกให้เป็นว่าที่เมืองหลวงใหม่ของประเทศจากความโดดเด่นด้านทำเลกับการเป็นเมืองภูมิภาคชายฝั่ง ที่มีพื้นที่ทอดยาวไปตามชายฝั่งทะเลโอมานและมหาสมุทรอินเดียทางตอนใต้ของอิหร่านกับปากีสถาน ซึ่งการเข้าถึงน่านน้ำเปิดในครั้งนี้อาจสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจของอิหร่านได้อย่างดี โดยเฉพาะในด้านการขนส่งทางทะเลและการค้า น่าจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างทรัพยากรกับประชากรได้ จนทำให้มีการตั้งสมญานามเมืองนี้ว่าเป็น สวรรค์ที่สาบสูญ

อย่างไรก็ตาม มักราน คือสถานที่ที่มีความสำคัญกับอิหร่านในช่วงจักรวรรดิอาเคเมนิด เมืองแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองท่าเรือธรรมดา แต่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางการค้าและการเดินเรือของภูมิภาคในอนาคต รวมถึงดินแดนทางใต้ซึ่งใกล้ทะเลอาจมีความปลอดภัยกว่า นับเป็นการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากพื้นที่ทางเหนือช่วงหลังเริ่มถูกศัตรูโจมตีถี่ขึ้น โดยแม้จะมีภูเขาใหญ่โอบล้อมเป็นปราการทางธรรมชาติ ทว่าปัจจุบันเทคโนโลยีทางทหารที่ก้าวหน้าก็ทำให้ภูเขาไม่ใช่อุปสรรคในการจู่โจมทางทหารอีกต่อไป

การย้ายศูนย์กลางทางการเมือง การบริหาร และวัฒนธรรมของอิหร่านถูกพูดถึงมานานมากกว่า 3 ทศวรรต โดยกระบวนการล่าสุดยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตัดสินใจของรัฐบาล เพราะรัฐบาลอิหร่านกำลังขอความช่วยเหลือและพิจารณาความเห็นจากหลายฝ่าย รวมถึงผลการศึกษาของนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรรมศาสตร์ สังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์ ว่าการย้ายจากเมืองกลางหุบเขาสู่เมืองริมทะเลมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง

อนึ่ง ข้อกังวลที่เห็นได้ชัดน่าจะเป็นเรื่องของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ เมืองมักราน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวสุหนี่หรือซุนนี ไม่ใช่ชาวเปอร์เซียหรือชาวมุสลิมที่นับถือนิกายชีอะห์เหมือนเตหะรานหรือพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ การจะอพยพชาวชีอะห์เข้าไปในพื้นที่จำนวนมาก น่าจะสร้างปัญหาพอสมควร นอกจากนั้นก็ยังมีชาวอิหร่านไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยในทางเศรษฐกิจ เพราะการย้ายเมืองหลวงมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ขัดแย้งกับสภาพทางเศรษฐกิจที่ซบเซาของประเทศ เรื่องนี้จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในสังคมอิหร่าน ซึ่งการย้ายเมืองหลวงที่อาจเกิดขึ้นนี้ อาจจะแก้ปัญหาประชากรแออัดในเตหะรานได้บ้าง แต่ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอยู่ดี

ถอดบทเรียนการย้ายเมืองหลวงของประเทศต่างๆ

ส่วนใหญ่แล้วการย้ายเมืองหลวงที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมักมีสาเหตุมาจากจำนวนประชากรที่สูงจนเกินควบคุมและความเสื่อมโทรมของเมืองหลวงเก่า มีบ้างที่ย้ายจากปัจจัยยุทธศาสตร์ทางการทหารและการรักษาความมั่นคง เช่น การย้ายเมืองหลวงของเมียนมาในปี 2005 จาก ย่างกุ้ง มาที่ กรุงเนปิดอว์ ซึ่งนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เพราะความเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่องของภูมิภาคส่งผลให้นครย่างกุ้งไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงและฐานอำนาจของรัฐบาลเผด็จการ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหารได้อีกต่อไป ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะ เนปิดอว์ กลับกลายเป็นเมืองร้างที่มีแต่อาคารราชการ กับถนนโล่งๆ

สำหรับการย้ายเมืองหลวงของอิหร่าน ใกล้เคียงกับการย้ายเมืองหลวงของประเทศคาซัคสถาน ในปี 1997 จากเมืองอัลมาตี สู่ กรุงอัสตานา ด้วยเหตุผลด้านภูมิศาสตร์ เมืองอัลมาตี มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหว, การถูกล้อมด้วยภูเขาทำให้ยากต่อการขยายเมือง, จำนวนประชากรที่ล้นเมือง และความต้องการลบภาพการถูกครอบงำจากรัสเซียที่แฝงอยู่ในอาคารต่างๆ สมัยเคยอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียต ซึ่งถือว่าการย้ายเมืองหลวงของคาซัคสถาน ค่อนข้างประสบความสำเร็จ สามารถแก้ไขปัญหาด้านบนได้

เช่นเดียวกับการเดินหน้าย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซียในปี 2024 จากจาการ์ตา เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนเกาะชวาฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีประชากรรวมๆกว่า 10 ล้านคน ทำให้เจอกับปัญหาความแออัด การจราจรที่ติดขัดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมลพิษที่สูงเกือบตลอดปี ไปสู่ กรุงนูซันตารา ใน จังหวัดกาลีมันตัน ทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว ด้วยพื้นที่ประมาณ 562 ตารางกิโลเมตร สามารถขยายได้ในอนาคต ซึ่งอาจมากว่า 2,561 ตารางกิโลเมตร แถมเมืองยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 200 – 4,095 เมตร ช่วยบรรเทาปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในอนาคตจากสภาวะโลกร้อนที่จาการ์ตาและหลายเมืองในอินโดนีเซียกำลังประสบอยู่

ดังนั้น การย้ายเมืองหลวงยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกประเทศต้องคิดให้รอบด้านเสมอ น่าจับตาว่าหากอิหร่านดำเนินการย้ายเมืองหลวงใหม่ได้สำเร็จ จะเกิดอะไรขึ้นกับภูมิภาคดังกล่าวบ้าง โดยนอกจากเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และความมั่นคงแล้ว ปัจจัยด้านผลกระทบต่อประชากรและสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์ 

อ้างอิง

https://timesofindia.indiatimes.com

https://www.france24.com


อ่านเพิ่มเติม : อยู่กันอย่างไร? สำรวจ กรุงนิวเดลี เมืองหลวงที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุด ส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อและพิธีกรรม

Recommend