พัฒนาเยาวชนด้วยกระบวนการผู้ประกอบการทางสังคม ถอดวิธีคิดแบบ “มูลนิธิรากแก้ว” สู่การแข่งขัน Enactus World Cup 2025

พัฒนาเยาวชนด้วยกระบวนการผู้ประกอบการทางสังคม ถอดวิธีคิดแบบ “มูลนิธิรากแก้ว” สู่การแข่งขัน Enactus World Cup 2025

ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายน-5 ตุลาคม 2568 อีกเวทีหนึ่งที่เสมือนเป็นหมุดหมายสำคัญของนักนวัตกรรมสังคมจากทั่วโลก คือเวทีการแข่งขัน Enactus World Cup 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568

Enactus World Cup 2025 เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้โครงการของนักศึกษาที่ขับเคลื่อนผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมาร่วมแข่งขันกัน โดยมีมูลนิธิรากแก้ว และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (ThaiBev) ร่วมกับ Enactus Global เป็นผู้สนับสนุนหลัก โดยในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และถือเป็นการสะท้อนของการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ถึงตรงนี้หากคุณคือกลุ่มนักพัฒนาสังคมเวทีแห่งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Enactus World Cup คือเวทีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการแข่งขันนำเสนอโครงการธุรกิจเพื่อสังคม บนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) แต่สำหรับใครที่ยังไม่คุ้นเคยนัก National Geographic ฉบับภาษาไทย ขออาสาพาไปถอดรหัสความคิดของการแข่งขันนี้ผ่าน ผศ. นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ประธานกรรมการมูลนิธิรากแก้ว องค์กรสำคัญที่ร่วมสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนไทยมานาน

การแข่งขัน Enactus World Cup 2025 สำคัญอย่างไร ทำไมเราถึงต้องติดตามกับการแข่งขันนี้?

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาท้าทายมากมาย ทั้งความยากจน, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, และปัญหาสังคมที่ซับซ้อน ฯลฯ Enactus World Cup เป็นเวทีสำคัญที่มุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนผ่านโครงการที่มีผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคม การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่การแสดงความสามารถของนักศึกษาจากทั่วโลก แต่ยังเป็นการรวมพลังของความคิดสร้างสรรค์และทักษะในการแก้ไขปัญหาสังคม ผ่านการใช้แนวคิดทางธุรกิจ (Social Entrepreneurship) การที่ประเทศไทยได้รับโอกาสนี้ ถือเป็นการยืนยันว่าเรากำลังก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก ที่จะนำพาเยาวชนไทยและชุมชนให้ก้าวไปข้างหน้า

สำหรับ Enactus เองเป็นองค์กรระดับโลกที่สนับสนุนให้เยาวชนใช้ทักษะทางธุรกิจในการพัฒนาโครงการเพื่อสังคม และการแข่งขัน Enactus World Cup เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่จัดขึ้นทุกปี เพื่อให้เยาวชนได้มีโอกาสแสดงผลงานที่สร้างผลกระทบทางบวก การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Enactus World Cup 2025 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงกระตุ้นให้กับเยาวชนและสังคมไทยในเรื่องของการพัฒนาและการทำความดีเพื่อส่วนรวมไปด้วยในเวลาเดียวกัน

มันคงไม่ต่างอะไรจากการแข่งขันกีฬา อย่าง วอลเลย์บอล ยิมนาสติก ฯลฯ เพราะการแข่งขันชิงแชมป์โลกมันสนุกในตัวมันเอง และถ้าเปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ นี่คือการแข่งขันชิงแชมป์โลกทำความดี ที่จะทำให้คนดูคิดและจินตนาการว่าจะให้คะแนนอย่างไร และในการตัดสินรอบสุดท้ายเราใช้กรรมการนับร้อยคน ซึ่งด้วยจำนวนกรรมการขนาดนี้มันไม่มีอคติหรือความชอบไหนจะสำคัญกว่าใครแน่นอน

มูลนิธิรากแก้วเชื่อมโยงกับ Enactus อย่างไร และที่ผ่านมาให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาเยาวชนอย่างไร?

มูลนิธิรากแก้วจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2550โดยมีท่านชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นประธานกรรมการคนแรก (พ.ศ. 2548 – 2554) เราเป็นองค์กรที่บูรณาการภาคการศึกษา ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัย กับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อให้เกิดพื้นที่ในการพัฒนาศักยภาพตนเอง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ของจริง ในชุมชนและสังคม ให้เยาวชนลงพื้นที่ ทำเองจริงๆ เพื่อสร้างผลกระทบทางบวก ให้เกิดกับสังคม ชุมชน ใน 3 มิติสำคัญคือ 1.เศรษฐกิจ 2. สังคม และ 3.สิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืนนี่เป็นเป้าหมายใหญ่

ในอดีตมูลนิธิรากแก้วเป็นสมาชิกองค์กรที่เรียกว่า SIFE (Students in Free Enterprise) องค์กรนี้เป็นองค์การระดับโลก โดยเราเคยพานักศึกษาของไทยไปแข่งขันในระดับโลก ให้เป็นผู้นำรุ่นใหม่ทีมีความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถนำความรู้มาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ผมยกตัวอย่างโปรเจคหนึ่งที่ได้รับชัยชนะในโครงการนี้คือตัวแทนนักศึกษาจากประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเขามีเป้าหมายที่จะช่วยชมชนยากจนซึ่งมีสมาชิกราว 4 หมื่นคนที่ใช้ชีวิตบนกองขยะ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีระบบประปา และเด็กกลุ่มนี้ก็ลงไปทำโปรเจค จนกระทั่งสาธารณูปโภคของเขาดีขึ้น  นี่คือตัวอย่างของการแข่งขันทำโครงการกัน สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วกับเยาวชนในหลายประเทศทั่วโลก และการแข่งขัน SIFE ก็เป็นเวทีที่ทำให้ไอเดียเช่นนี้มันถูกนำมานำเสนอเพื่อหาโปรเจคที่ดีที่สุด

มูลนิธิรากแก้วสนใจในเรื่องเหล่านี้ เราเชื่อพลังของเยาวชน ในอดีตเราเดินสายไปแต่ละภูมิภาค เพื่อหาเยาวชนที่อยากทำโครงการเพื่อสังคม ทำให้ชุมชน สังคมไทยมันแข็งแรงขึ้น คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น

และแม้ว่าในช่วงโควิด-19 การลงพื้นที่จะไม่มากเท่าเดิม แต่ทำแบบออนไลน์ ช่วยเราประหยัดค่าเดินทาง และก่อนจะพาทีมไปแข่งขันในระดับโลก เราจัดการแข่งขันในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศที่สามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งต้องขอบคุณบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งสนับสนุนพื้นที่ในการจัดการ

มูลนิธิรากแก้วเป็นสมาชิกของ SIFE ซึ่งเมื่อภายหลัง SIFE เปลี่ยนชื่อ และจัดองค์กรใหม่เป็น Enactus เราเลยกลับมาร่วมอีกครั้งกับ Enactus Global และเมื่อเป็นสมาชิกแล้วก็จะมีชื่อตามเรียกชื่อตามประเทศต่อท้ายหลัง ทำให้เราจัดการแข่งขันที่ชื่อ   Enactus Thailand โดยที่ Enactus Thailand เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของมูลนิธิรากแก้ว  ที่ผ่านมาเรามีโอกาสพานักศึกษาไปแข่งขันที่ประเทศคาซักสถานเมื่อปี 2024 พอประเทศสมาชิกเห็นว่าเรามีประสบการณ์  จากการทำอะไรที่คล้ายกันนี้ เราเลยได้เป็นเจ้าภาพในปีนี้

บรรยากาศการแข่งขัน Enactus Thailand (ภาพจากมูลนิธิรากแก้ว)

ทำไมรากแก้วถึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมระหว่างนักศึกษากับชุมชน เส้นทางนี้มันสำคัญอย่างไร?

รากแก้วทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อตั้ง และเห็นว่าปัญหาหนึ่งของประเทศไทยคือการมีความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง และความเหลื่อมล้ำนี้กลายเป็นฐานที่ทำให้สังคมมีความขัดแย้งในหลายมิติ

วิธีที่จะ Bridge (เชื่อมต่อ) หรือทำให้ช่องว่าง (Gap) ทางสังคมเล็กลง สิ่งสำคัญคือการทำให้ผลิตผลหรือ Productivity พลเมืองใกล้เคียงกันให้ได้ และเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้  Productivity ของคนใกล้เคียงกันคือเรื่องการศึกษา ในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงฐานะทางสังคมของมนุษย์ที่ไม่รุนแรงก้าวร้าว

ถึงเช่นนั้นมูลนิธิรากแก้ว ก็ไม่สามารถทำให้กลุ่มคนทุกกลุ่มมีความเท่าเทียมได้ เราจึงโฟกัสที่กลุ่มที่มีภาวะ Leadership เพราะมองว่า เป็นกลุ่มที่น่าจะมีศักยภาพเบื้องต้นมากที่สุด ก็คือเด็กมหาวิทยาลัย โดยกลุ่มคนเหล่านี้ในสมัยที่เราเริ่มทำโครงการใหม่ๆ ถือว่าเป็นเยาวชนส่วนน้อยของประเทศ มีจำนวนอยู่ราวๆ 2 แสนคนต่อปี หรือเราจะเรียกได้ว่า คนกลุ่มนี้แม้จะมีจำนวนน้อย แต่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพมากที่สุดเมื่อเทียบกับเยาวชนอื่นๆ เพราะเด็กที่เรียนในมหาวิทยาลัย ถือว่ามีความรู้ และอยู่ในช่วงวัยที่ทำอะไรได้มาก ขณะเดียวกันการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำให้คนกลุ่มนี้เข้มแข็ง หรือ มีประสบการณ์เพียงพอ เราเคยมาร่วมเป็นองค์กรร่วมบูรณาการ ภาคการศึกษา เข้าสู่ภาคส่วนอื่นโดยกระบวนการ Entrepreneur หรือกระบวนการทางธุรกิจ การเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ

จริงอยู่ว่าในภาคธุรกิจก็มีกระบวนการของธุรกิจเพื่อสังคมที่เรียกว่าการทำ CSR แต่กระบวนการนี้ช้าเกินไป เมื่อเทียบกับการทำธุรกิจ เราจึงสนับสนุนโมเดลของการทำธุรกิจ ผ่านการลงไปทำงานจริงๆ สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนได้จริงในระยะยาว  ไม่ใช่แค่การออกค่ายสั้นๆ และข้อแม้สำคัญคือการทำโปรเจคชองคุณต้องทำให้คนในสังคมมีชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ธุรกิจที่คนทำดีขึ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นความเหลื่อมล้ำทางสังคมไม่ได้หายไป

การจะสร้างเยาวชนให้ทำโปรเจคดีๆ ที่จะสร้างสังคมและธุรกิจเติบโตไปพร้อมกันได้ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

มันมีอยู่ 3-4 ปัจจัย อย่างแรกคือเรื่องทัศนคติ (Attitude) และมีความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งเราต้องหาคนที่มีความเชื่อว่าชีวิตมนุษย์จะประสบความสำเร็จหรือมีความสุข เราต้องให้คนอื่นดีไปกับเราด้วย

ต้องยอมรับว่า ในความเป็นจริงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เชื่อว่า วิธีทำให้สังคมดีที่สุดคือการไม่ทำตัวเองให้เป็นภาระสังคม เสียภาษี ทำมาหากิน เพียงเท่านี้ คนกลุ่มนี้ไม่ได้ผิดแต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เป็นเพียงกลุ่มที่ไม่ได้เป็นภาระแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ดังนั้นโจทย์ของเราคือทำให้กลุ่มเยาวชน นักศึกษาในมหาวิทยาลัยตระหนักถึงศักยภาพในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ และไม่ควรดูแลแค่ตัวเอง แต่เมื่อมีโอกาส มีศักยภาพก็ควรจะทำเพิ่ม

เราเชื่อและมีหลักฐานว่า ในการเติบโตของคนคนหนึ่ง เราสามารถดูแลตัวเองไปพร้อมๆกับดูแลประโยชน์ส่วนรวมได้ด้วย มิใช่เพียงแค่ว่า รอให้ประโยชน์ส่วนตัวสำเร็จก่อน หรือรวยก่อน แล้วค่อยช่วยสังคม ซึ่งแบบนี้มันช้าไป

ผมยกตัวอย่างว่า ถ้าหากเป็นการทำธุรกิจธรรมดา พวกเขามักจะทำให้ตัวเองเติบโตก่อน จากนั้นจึงตอบแทนสังคมเหมือนที่เราเรียกกันว่า CSR แต่ถ้าเรามีความสามารถพอที่จะทำ Social Enterprise หรือธุรกิจเพื่อสังคม ที่มีแผนทางธุรกิจที่ช่วยสังคมไปพร้อมๆกันได้ โดยที่สุดท้ายยังมีผลกำไร นี่คือสิ่งที่น่าจะดีกว่าการทำธุรกิจอย่างเดียว ซึ่งปัจจัยแรกที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้คือความคิด

สอง เราจะทำอย่างไรที่จะเร่งกระบวนการของคนที่มีความคิดแบบแรก ให้เขามีความรู้ มีประสบการณ์ มีความอยากที่จะทำความดีเพื่อสังคม ให้มีทักษะ มีความสามารถให้รวดเร็วยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นกว่าที่เขาจะช่วยสังคมได้ ก็เมื่ออายุ 60 มันช้าเกินไป ดังนั้นเราจะเข้ามาทำให้คนแบบนี้เริ่มช่วยสังคมเมื่อตัวเองอายุน้อยๆ ให้เขามีรายได้ที่ดีควบคู่ไปกับการช่วยสังคม ไม่ต้องมีใครต้องเสียสละ หรือต้องให้อุดมการณ์ขัดแย้งกับรายได้

ปัจจัยที่สาม หลังจากเรามีทัศนคติ ให้ความรู้ ประสบการณ์แล้วต้องมีเวทีให้ปฏิบัติจริง เพื่อเรียนรู้ว่าแบบไหนได้ผลดี แบบไหนเสียเวลามาก ดังนั้นมูลนิธิรากแก้วจะช่วยสร้างระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ขึ้น  เช่น การทำให้กระบวนการให้มีเสริมศักยภาพ ให้ไปเสริมทัศนคติที่มีอยู่แล้ว หรือเรียกได้ว่าเราเสริมพรแสวงให้กับคนที่มีพรสวรรค์ และคนที่ไม่มีสวรรค์แต่อยากทำ ให้เขาทำได้

จากนั้นเราเปิดพื้นที่ โดยมูลนิธิรากแก้วจัด Coaching ให้ความรู้ความเข้าใจทั้งนักศึกษา อาจารย์ ผู้บริหาร ว่าทำไมต้องตอบแทนสังคม ช่วยให้มีทักษะในการทำสิ่งที่เหมาะสมกับเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องลงชุมชนแบบการทำค่ายอาสาแบบเดิม ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์นะ แต่กระบวนการนี้จะเป็นมากกว่าเวทีทดลองให้กับนักศึกษา ผมยกตัวอย่างว่า หากคุณเป็นนิสิตแพทย์ ไม่จำเป็นต้องสร้างห้องน้ำ ทำโรงเรียน เรียนบัญชีไม่จำเป็นต้องปลูกป่า แต่ผมพูดถึงการใช้ทักษะที่เรามีเข้าไปทำประโยชน์ เช่น ทำคลินิก สอนบัญชีชุมชน จากนั้นเราก็จะให้เขาแข่งในภูมิภาค จนมาถึงระดับประเทศ แล้วค่อยไปเวทีโลก

ปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จข้อสุดท้ายผมเรียกว่า “นางฟ้าอยู่ที่หลักการ ซาตานอยู่ในรายละเอียด” (หัวเราะ) ซึ่งหมายความว่า บางครั้งเรามีเป้าหมายที่ดี แต่รายละเอียดทำให้ล้มเหลวได้ มันก็ทำให้งานล้มเหลวได้ และเรายังอยากนำเสนอว่าในการลงพื้นที่ของมหาวิทยาลัยไม่ควรไปเพียงคณะเดียว เช่น นักศึกษาแพทย์ หรือบัญชี ไม่สามารถแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งได้ หากไม่มีการบูรณาการร่วมกัน การทำโปรเจคควรไปมากกว่าหนึ่งคณะ โดยเป็นการคิดจาก Demand Side นั่นคือคิดจากปัญหาและความต้องการ จากนั้นจะเป็นการบูรณาการข้ามวิชา ที่สำคัญคือเราต้องสามารถถอนตัวได้ ซึ่งความความว่าคุณต้องทำระบบ ตรวจสอบ การตลาด ให้เขาทำเองต่อได้ โดยที่ไม่มีเรา และต้องให้เขาทำเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างยั่งยืน สามารถหาผลลัพธ์ Social Return on Investment (SROI) แล้วกลับมาสร้างประโยชน์ในเชิง ประมวลผลลัพธ์ในเชิงปริมาณที่คำนึงถึงผลประโยชน์ (Benefits) และต้นทุน (Costs) และสุทธิเป็นผลตอบแทน (Returns) ช่วยให้องค์กรวัดผลกระทบที่มีต่อ Stakeholders ทั้งใกล้และไกลขององค์กรด้วยค่า

ตัวอย่างจากทีมตัวแทนจากประเทศไทย ภายใต้ชื่อ โครงการ “Cocoa GoGreen” หรือ โกโก้โกกรีน ซึ่งได้รางวัลโครงการ Platinum ชนะเลิศระดับประเทศ ด้วยโมเดลที่ยกระดับโกโก้ไทยด้วยนวัตกรรม เพิ่มรายได้เกษตรกร แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสร้างโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมที่ยั่งยืน ทั้งนี้ โปรเจค “โกโก้โกกรีน” ยังได้รับเกียรติเป็น ตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันระดับโลก Enactus World Cup 2025 Presented by ThaiBev

ติดตามการแสดงพลังของความร่วมมือในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และมีบทบาทสำคัญในการร่วมบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเป้าหมาย SDGs  ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2568 ในงาน Sustainability Expo 2025


อ่านเพิ่มเติม : Cocoa GoGreen นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมโกโก้ไทย

Recommend