โลกเดือด-สัตว์สูญพันธุ์-สนธิสัญญาพลาสติก ความหวังสู่ Nature Positive ในโลกที่ไม่เหมือนเดิม รวมเรื่องสำคัญด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปี 2024
คงไม่เกินจริง ถ้าจะบอกว่าโลกทุกวันนี้กำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อม และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่ใดที่หนึ่งแต่ทุกประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาร่วมกัน
ในปี 2024 ที่ผ่านมา คืออีกปีที่สถานการณ์เช่นนี้กำลังดำเนินไป ทว่ามีเหตุการณ์ใดพิเศษบ้างที่ควรบันทึกไว้ในโอกาสส่งท้ายปี และ National Geographic ฉบับภาษาไทย ได้มุมมองจาก ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ที่ผ่านการทำงานในองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับโลกหลายแห่ง ถึงประเด็นด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปี 2024 ที่ไม่ควรมองข้าม
ปรากฏการณ์โลกเดือด 2024 ร้อนที่สุดตั้งแต่เคยบันทึกมา
ปรากฏการณ์ที่ ดร.เพชร เลือกคือ โลกร้อนที่ได้เปลี่ยนมาเป็น “โลกเดือด” ปี 2024 คือปีที่คลื่นความร้อนแผดเผาหนักสุดเป็นประวัติการณ์ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย รวมถึงไทย
ข้อมูลจากโครงการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service) ของยุโรป ระบุว่า มีแนวโน้มว่าปี 2024 จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างน้อย 1.55 องศาเซลเซียส จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งกระทบต่อธรรมชาติอย่างกว้างขวาง เช่น ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 ไฟป่าระดับรุนแรง และการคุกคามสัตว์ใกล้สูญพันธุ์หลายๆชนิด
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะหลังทำให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) จนทำให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบ่อยครั้ง จนถึงขึ้นเรียกกันว่า Rain Bomb จนเกิดน้ำท่วมรุนแรงทั้งในต่างประเทศ ในประเทศไทย เกิดอุทกภัยที่ภาคเหนือเมื่อช่วงกันยายน แม่น้ำสายหลักหลายสายในภาคเหนือ เช่น น่าน ยม ปิง วัง และกก ต่างเอ่อล้นจนเกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน ซ้ำน้ำท่วมยังถูกทำให้รุนแรงขึ้นจากพายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งพัดถล่มประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2567
ขณะที่ภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมาก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในช่วงปลายปี และสถานฝนตกหนักจากสภาพอากาศสุดขั้วเช่นนี้จะกลายเป็นฝนปกติเจอกันแทบทุกปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่อยู่ในเขตเจอฝนโลกร้อนหนักขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งกำลังจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่เราต้องเตรียมรับมือรายปี
วิกฤตพะยูนไทย ผลพวงของกิจกรรมมนุษย์และภาวะโลกร้อน
สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ก็เป็นไปแล้ว ไม่มีใครคิดว่าพะยูนฝูงใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่จังหวัดตรังจะต้องอพยพย้ายถิ่นไปที่อื่นเนื่องจากขาดแคลนอาหาร และทะยอยล้มตายราวกับใบไม้ร่วง สองปีที่ผ่านมามีพะยูนตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 82 ตัวจากจำนวนที่มีอยู่ราวๆ 200 ตัวทางฝั่งอันดามัน ขณะที่อัตราการเพิ่มจำนวนของพะยูนตามธรรมชาติอยู่ที่ 5% หรือปีละ 10 ตัวเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าพะยูนสัตว์ป่าสงวนที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างเข้มข้นมาตลอดหลายสิบปีกำลังอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ภายในเวลาไม่นาน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พะยูนต้องย้ายถิ่นจากพื้นที่เดิมใน จ.ตรัง ซึ่งเป็นแหล่งที่พบเจอพะยูนมากที่สุด คือภาวะหญ้าทะเลเสื่อมโทรมเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นภาวะเสื่อมโทรมสะสมมาจากปัญหาการขุดลอกร่องน้ำจนเกิดตะกอนทรายทับถม น้ำเสียและสารเคมีที่ถูกชะล้างจากบนฝั่ง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมานักวิจัยพบว่า อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงผิดปกติเป็นเวลานาน ประกอบกับระดับน้ำทะเลขึ้นลงที่ต่ำผิดปกติเป็นประวัติการณ์ทำให้หญ้าทะเลที่อ่อนแออยู่แล้วจำนวนมากอยู่ในภาวะถูกนึ่งและถูกแดดแผดเผาจนแห้งตาย
การสำรวจพะยูนล่าสุด พบว่ามีการกระจายตัวออกไปในพื้นที่กว้างทั้งในจังหวัดกระบี่ พังงาและภูเก็ต โดยปัจจุบันพะยูนส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ในทะเลภูเก็ต ซึ่งไม่มีแนวหญ้าทะเลผืนใหญ่เพียงพอที่จะรองรับประชากรพะยูนที่เหลืออยู่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและทุกภาคส่วนได้ระดมทุกสรรพกำลังในการแก้สถานการณ์ โดยพยายามให้การคุ้มครองพื้นที่ที่พะยูนเข้าไปอาศัยไม่ให้ถูกรบกวน และพยายามเร่งปลูกหญ้าทะเล รวมทั้งทดลองวางแปลงอาหารอื่นๆ เช่นสาหร่าย หญ้าตะกานน้ำเค็ม (Ruppia maritima) และผักต่างๆให้กับพะยูน ด้วยหวังให้มีอาหารประทังชีวิต วิกฤติพะยูนใกล้สูญพันธุ์เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เข้าสู่จุดที่ไม่อาจหวนคืน หรือ tipping point เมื่อระบบนิเวศธรรมชาติอ่อนแอลงเรื่อยๆ ก็อาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ล่มสลายของระบบนิเวศได้ในระยะเวลาสั้นๆ
การสูญพันธุ์ของ Slender-billed curlew และภาวะน่าเป็นห่วงของนกชายเลนอพยพทั่วโลก
การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตคือวิกฤติที่รุนแรงที่สุดของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และปี 2024 นักวิทยาศาสตร์ได้มีการบันทึกการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งอย่างเป็นทางการ นั่นคือการสูญพันธุ์ของนกอีก๋อยปากเรียว (Slender-billed Curlew/ Numenius tenuirostris) หลังจากไม่พบการปรากฏตัวในธรรมชาติมานานกว่า 30 ปี
การสูญพันธุ์ของนกชนิดนี้เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่รุนแรงจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำและที่พักอาศัยระหว่างเส้นทางอพยพ (flyways) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนวงจรชีวิตของนกอพยพ ปัญหาหลักคือการพัฒนาที่ดิน การทำเกษตรกรรม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ซ้ำเติมให้พื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านี้เสื่อมโทรมลง การสูญเสียพื้นที่เหล่านี้ยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อนกชายเลนอพยพชนิดอื่นๆ ด้วย จนกลายเป็นกลุ่มที่มีสถานภาพถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์
พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญไม่ใช่แค่สำหรับนก แต่ยังเป็นระบบนิเวศที่มีบทบาทในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การกักเก็บคาร์บอน การจัดการน้ำ และแหล่งอาหารของชุมชนท้องถิ่น การอนุรักษ์นกชายเลนอพยพซึ่งครอบคลุมเส้นทางอพยพในหลายประเทศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติ
การสูญพันธุ์ของนกอีก๋อยปากเรียวจึงเป็นกรณีศึกษาให้เราต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเปราะบางของนกอพยพและบทบาทความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่ง ซึ่งความพยายามอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านี้ตลอดเส้นทางอพยพเป็นตัวอย่างหนึ่งในการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions) ที่จะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมต่อสังคมโดยรวมในการเผชิญหน้ากับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จับตาสนธิสัญญาพลาสติกโลก
มลพิษจากพลาสติกเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบทั่วโลก ขยะพลาสติกประมาณราว 8-12 ล้านตันยังคงหลุดรอดลงสู่มหาสมุทรทุกปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าภายในปี 2040 หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง
การเจรจาเพื่อจัดทำ “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” (Global Plastic Treaty) มีเป้าหมายในการสร้างข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการจัดการพลาสติกตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัด
ความก้าวหน้าล่าสุดคือการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลครั้งที่ 5 (INC-5) จัดขึ้นที่เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567 อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ทำให้ต้องมีการขยายการเจรจาออกไป และจะมีการประชุมรอบใหม่ในปี 2568
ปัญหาหลักที่ทำให้การเจรจาไม่คืบหน้าเกิดจากความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิก โดยเฉพาะในประเด็นการลดการผลิตพลาสติกและการจัดการสารเคมีที่เป็นอันตรายในกระบวนการผลิต บางประเทศที่มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หากมีการจำกัดการผลิตพลาสติก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ และภาคประชาสังคมเรียกร้องให้มีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการลดมลพิษจากพลาสติก
แม้ว่าการเจรจาจะยังไม่บรรลุผลในขณะนี้ แต่ความพยายามในการสร้างสนธิสัญญาพลาสติกโลกยังคงดำเนินต่อไป และเป็นสิ่งที่พวกเราต้องช่วยกันจับตาและเรียกร้อง โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปข้อตกลงภายในปี 2568 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างยั่งยืน
ความหวังสู่ Nature positive
กรอบแนวคิด Nature Positive หรือ แนวทางธรรมชาติเชิงบวกถูกพูดมาสักระยะ และเริ่มเป็นวาระที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีกฎหมายและข้อตกลงที่อธิบายว่าแนวคิดนี้ได้ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม
แนวคิด Nature Positive ได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกผ่านการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP15) ซึ่งบรรลุข้อตกลงกรอบงานว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลกฉบับใหม่ ดังนั้น Nature Positive จึงถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายระดับโลกที่มุ่ง “หยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายในปี 2030 โดยใช้ปี 2020 เป็นฐาน และมุ่งให้เกิดการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050”
Nature Positive เสนอการเปลี่ยนมุมมองจากที่มองธรรมชาติเป็นทรัพยากรภายนอก (Externality) ที่ไม่มีใครรับผิดชอบ มาเป็นบริบทพื้นฐาน (Context) ของชีวิตทั้งหมดรวมถึงมนุษย์ สังคมมนุษย์เป็นบริบทของกิจกรรมมนุษย์ และเศรษฐกิจเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งของสังคม
การบรรลุเป้าหมาย Nature Positive ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบทั้งในด้านการผลิต การบริโภค และการกำกับดูแล รวมทั้งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ประชาสังคมและประชาชนทั่วไป เป้าหมายดังกล่าวต้องผ่านการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย มาตรการทางภาษี กลไกตลาด และการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก กล่าวคือเป็นการเชื่อมโยงแนวคิดนามธรรมให้เป็นรูปธรรมผ่านเครื่องมือเชิงนโยบายและวิทยาศาสตร์
แม้ปีที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยข่าวร้าย แต่อย่างน้อยที่สุดตอนนี้สังคมโลกก็ได้มีฉันทามติร่วมกันที่จะมุ่งหน้ากอบกู้ธรรมชาติที่เหลืออยู่ และฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เราเพียงแต่หวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่มาถึงจะไม่สายเกินไป
ภาพหน้าปก : Diane Cook & Len Jenshel, Nat Geo Image Collection