เรื่องราวของเหยื่อ ฆาตกรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ย้อนกลับไปได้ถึง 430,000 ปี ในถ้ำที่สเปน

เรื่องราวของเหยื่อ ฆาตกรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ย้อนกลับไปได้ถึง 430,000 ปี ในถ้ำที่สเปน

ฆาตกรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก หรือ การฆาตกรรมครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ทราบนั้นดูค่อนข้างโหดร้าย ฆาตกรทุบเหยื่อด้วยอะไรบางอย่างที่มีลักษณะแข็งหลายครั้งที่ศีรษะ ทำให้เกิดรูที่ตรงเหนือคิ้วซ้ายของเหยื่อ จากนั้นศพก็ถูกทิ้งลงไปในถ้ำสูง 13 เมตรและถูกทิ้งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาราว 500,000 ปี

จากนั้น มีการพบศพครั้งแรกในปี 1987 ที่เทือกเขาอาตาปูเอร์กา (Atapuerca Mountains) ประเทศสเปน นักวิจัยต้องปีนขึ้นช่องภายในถ้ำเพื่อพบกับสถานที่ที่มีกระดูกนับพันชิ้นจากโฮมินินหลายสายพันธุ์ และถูกเรียกว่า ‘Sima de los Huesos’ หรือ หลุมกระดูก

พื้นที่ขุดค้นนี้มีกระดูกมาจากบุคคลอย่างน้อย 28 ราย สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ นักวิทยาศาสตร์พบสายพันธุ์ลึกลับรวมอยู่ด้วย พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ยุคใหม่และก็ไม่ใช่มนุษย์ยุคโบราณเสียทีเดียว จึงตั้งชื่อตามสถานที่ว่า Homo Sima de los Huesos ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ขณะที่บางคนเชื่อว่าเป็นของ Homo heidelbergensis

อย่างไรก็ตาม มีกะโหลกหนึ่งที่ทีมวิจัยสนใจ มันมีอายุประมาณ 430,000 ปี และรายงานการวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์กล่าวว่า พบร่องรอยการบาดเจ็บที่กะโหลดศีรษะซึ่งคาดว่าเป็นหลักฐานของการฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุด

“จากความคล้ายคลึงกันในรูปร่างและขนาดของบาดแผลทั้งสอง เราเชื่อว่ามันเป็นผลมาจากการทุบด้วยวัตถุเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสร้างความเสียหายให้กับบุคคลนั้น ซึ่งอาจเกิดจากการเผชิญหน้ากัน” โนเฮมิ ซาลา (Nohemi Sala) นักบรรพชีวินวิทยาจากสถาบันเดอซาลุดคาลอส lll (Instituto de Salud Carlos III) ในกรุงมาดริด ประเทศสเปนกล่าว

เธอเสริมว่า ทีมวิจัยไม่แน่ใจว่าวัตถุนั้นคืออะไรกันแน่ โดยอาวุธที่เป็นไปได้คือหอกไม้หรือขวานมือหิน แต่ที่แน่ ๆ คือมันเป็นสิ่งที่มีความแข็งอย่างมาก

ไม่เพียงเท่านั้น ในพื้นที่การขุดค้นก็ไม่พบอาวุธใด ๆ อยู่บริเวณเดียวกันเลย การที่มีรอยสองรอยเหมือนกัน หมายความว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ และไม่มีร่องรอยของการรักษา ดังนั้นเหยื่ออาจเสียชีวิตทันทีหรือไม่นานหลังการโจมตี

แม้จะเป็นการฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุด และซาลาแน่ใจว่านี่เป็นการฆ่าครั้งแรกสุดแน่นอน แต่เนื่องจากมีการพบฟอสซิลน้อยมาก เราจึงมีหลักฐานการฆ่าน้อยลงไปด้วย

ความลึกลับอีกประการหนึ่งคือ ‘อะไรทำให้คนโบราณต้องฆ่ากัน’ ทีมวิจัยคิดว่าอาจขัดแย้งกันเรื่องทรัพยากร หรือเหตุผลอื่น ๆ เนื่องจากชีวิตในยุคโบราณนั้นยากลำบากมาก

มนุษย์โฮมินินโบราณอาจเชือดและกินเนื้อคนกันเอง กระนั้น พวกเขายังคอยดูแลกันและกัน “มีบุคคล 28 คนในสถานที่นี้ที่มีอายุต่างกัน” ซาลาบอก

“เรารู้ว่าบางคนในนี้มีปัญหาสุขภาพ มีคนหนึ่งที่มีปัญหาร้ายแรงมากที่หลังส่วนล่าง และอาจมีปัญหาในการเดินและเคลื่อนไหว” ดังนั้นจะต้องมีคนดูแลก่อนเสียชีวิต

ปัจจุบัน ยังไม่ชัดเจนว่าฆาตกรแอบซ่อนศพด้วยการนำมาทิ้งไว้ที่พร้อม ๆ กับศพอื่นหรือไม่ หรือทั้งหมดนี้เป็นพิธีการฝังศพพร้อมกันก็ยังไม่อาจทราบได้ แต่ดูเหมือนว่าคนที่มีชีวิตอยู่จะนำผู้เสียชีวิตมาไว้โดยเจตนา

หากเป็นเช่นนัั้นจริง นอกจากการฆาตกรรมเก่าแก่ที่สุดแล้วสถานที่แห่งนี้ยังสามารถเป็น “พฤติกรรมงานศพที่เก่าแก่ที่สุดในบันทึกฟอสซิลของมุนษย์” ตามงานวิจัยระบุ

บางทีมนุษย์โบราณอาจไม่ได้มีแต่เรื่องฆ่าฟันและความรุนแรง “พวกเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยพวกเขาก็มีข้อดีอยู่บ้าง” ซาลาบอก

สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.nationalgeographic.com/science/article/worlds-oldest-murder-mystery-was-430000-years-in-the-making

https://www.livescience.com/50991-oldest-murder-victim-found.html

https://www.smithsonianmag.com/science-nature/investigating-case-earliest-known-murder-victim-180955409

อ่านเพิ่มเติม เนรมิตใบหน้า มนุษย์โบราณ ใหม่ ให้กะโหลกอายุ 4,000 ปี

Recommend