ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอย่าง ‘ที่ดิน’ ภาครัฐจำเป็นต้องผสานความร่วมมือกันในหลายภาคส่วนเพื่อบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีอวกาศมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว
[ BRANDED CONTENT FOR GISTDA ]
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ได้ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ. หรือ GISTDA) ในการนำเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาร่วมขับเคลื่อนนโยบายและแผนด้านการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ โดยการนำประสิทธิภาพของดาวเทียมทั้งจากในอดีต และดาวเทียมความละเอียดสูงมากอย่าง THEOS-2 (ธีออส-2) มาใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีการจัดที่ดินทำกินให้กับประชาชนภายใต้ คทช. การพิสูจน์สิทธิในเขตที่ดินของรัฐเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางด้านที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ที่ต้องการข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และเชื่อถือได้
แก้ไขปัญหาใหญ่ด้วยข้อมูลเชิงลึกจากดาวเทียม
คุณรวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจนี้ กล่าวว่า ที่ดินและทรัพยากรดินมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยปัญหาใหญ่ของการบริหารจัดการที่ดินนั้นมี 2 ประเด็นหลัก คือ 1) เรื่องการกระจายการถือครองที่ดินให้เป็นธรรม และ 2) การใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่
หากโฟกัสไปยังประเด็นแรก มีผลการศึกษาระบุว่าคนไทยราว 50% ถือครองที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่ กล่าวคือในขณะที่คนส่วนหนึ่งไร้ที่ดินทํากินหรือมีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ คนอีกส่วนหนึ่งกลับมีที่ดินจำนวนมากและปล่อยร้างไว้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ เรื่องการถือครองที่ดินจึงมีความเชื่อมโยงกับประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมโดยตรง ซึ่งภาครัฐก็ได้พยายามผลักดันให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน ซึ่งนอกจากจะลดความเหลื่อมล้ำแล้ว ในทางอ้อมยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการบุกรุกที่ดินของรัฐได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันในเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ เป็นอีกภารกิจสำคัญที่รัฐต้องติดตามและผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ตัวอย่างเช่น การปลูกข้าวโพดซึ่งเป็นพืชไร่ในพื้นที่สูงส่งผลให้เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรม แต่หากเกษตรกรหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ ซึ่งต้องมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่วมเงา ก็จะสามารถสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้นในหลายมิติ เป็นต้น

“ทราบกันดีว่าที่ดินนั้นมีจํากัด และประชาชนบางกลุ่มยังไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน จนนำไปสู่การเข้าไปบุกรุกเข้าไปทํากินในที่ดินของรัฐ ซึ่งพอเกิดข้อโต้แย้งขึ้น สคทช. ก็ต้องเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาด้วยการพิสูจน์ย้อนกลับไปดูข้อมูลในอดีตว่าครอบครัวนั้น ๆ อาศัยอยู่มานานแค่ไหน ก่อนหรือหลังช่วงเวลาที่รัฐประกาศเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรก โดยตรวจสอบและยืนยันด้วยภาพถ่ายทางอากาศจากกรมแผนที่ทหาร ที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึงปี พ.ศ.2495 และในปัจจุบัน GISTDA ได้นำข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมเข้ามาสนับสนุนในการพิสูจน์สิทธิเพิ่มขึ้นด้วย”
พิสูจน์สิทธิเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน
ผอ.สคทช. อธิบายต่อว่า การพิสูจน์สิทธิในที่ดินนั้น สคทช. ทำหน้าที่เหมือนแพทย์ในกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยทำการวิเคราะห์ร่องรอยต่าง ๆ บนแปลงที่ดิน เพื่อยืนยันว่า แต่ละครอบครัวครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินมาก่อนจะมีการประกาศเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรก อาจเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งรุ่นลูกหลานก็สามารถถือครองสิทธิตรงนั้นต่อเนื่องได้ โดยมีข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมของ GISTDA คอยสนับสนุน
“อย่างไรก็ตาม ภาครัฐมีมาตรการผ่อนผันแก่ราษฎรที่อยู่ในที่ดินของรัฐมาโดยตลอด โดยได้อนุโลมให้กับผู้ที่พิสูจน์ได้ว่าอยู่อาศัยมาก่อนปี พ.ศ. 2557 ซึ่งใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมมาประกอบในการพิสูจน์สิทธิ เพื่อพิจารณาดูเบื้องต้นได้ว่ามีกิจกรรมอยู่ก่อนเพื่อจะสามารถอนุญาตให้ได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน สามารถเข้าถึงน้ํา และไฟฟ้าได้ ทำให้สามารถดํารงชีวิตได้ดีขึ้น เพราะเด็ก ๆ ไม่ควรต้องจุดเทียนทำการบ้านอ่านหนังสือ หากเราจะอนุญาตให้เขาอยู่ ก็ควรให้อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานให้ได้”
ทางฝั่งเทคโนโลยีจากดาวเทียม โดย คุณกานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการ GISTDA ที่นำเอาศักยภาพของดาวเทียมทั้งข้อมูลดาวเทียมในอดีต รวมถึงข้อมูล THEOS-2 ในปัจจุบันมาสนับสนุนการดำเนินงานด้านการจัดการที่ดิน ด้วยการพัฒนาเป็นแพลตฟอร์ม LANDX (Land Explorer) ขึ้นสำหรับใช้งานในภารกิจดังกล่าว

“เราพัฒนาเป็นแพลตฟอร์ม LANDX ให้มีฟังก์ชันหลัก 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกก็คือเรามีพื้นที่ที่ได้รับการจัดสรรภายใต้นโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) เข้าไป และใช้ดาวเทียมเพื่อติดตามการใช้ที่ดินอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ เรื่องที่สองคือ Time Stamp เป็นการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินว่าในทุก Pixel ของข้อมูลมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไร เนื่องจากเรามีข้อมูลที่รวบรวมเอาไว้ย้อนหลังกลับไปได้ถึง 20 ปี และสามารถดูได้ทุกจุดเลยว่าในระยะ 20 ปีนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใน Pixel นั้นบ้าง ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการนำมาประกอบหรือสนับสนุนการพิสูจน์สิทธิได้ ส่วนเรื่องที่สามคือการพิสูจน์ว่าพื้นที่ทำการเกษตรไม่ได้มีการบุกรุกป่า เป็นเรื่องที่ทำขึ้นเพื่อสนับสนุนงานด้าน EUDR ด้วย
“แพลตฟอร์มตัวนี้ก็จะพัฒนาเป็น Web-based ก่อน โดยฟังก์ชันการติดตามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ได้รับจัดสรรจะมี สคทช. เป็นผู้ใช้งานหลัก ในการตรวจสอบว่านโยบายได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยแค่ไหน และควรปรับปรุงต่อไปอย่างไร ถัดมาฟังก์ชันที่เกี่ยวข้องกับ EUDR ก็จะมีกลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกรรายย่อย รวมถึงสภาอุตสาหกรรม และภาคเอกชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ EUDR หากต้องการส่งผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่ยุโรปและต้องการตรวจสอบพื้นที่ของตัวเอง เพื่อเอาข้อมูลไปประกอบการยืนยันก็จะสามารถใช้ประโยชน์ตรงนี้ ส่วนเรื่อง Time Stamp นั้นเปิดกว้างให้กับทุกคนที่สนใจอยากรู้ความเปลี่ยนแปลง ความเป็นไปของพื้นที่ของตัวเองในช่วงระยะเวลา 20 ปี
“ซึ่งในจุดนี้เรามองว่าจะเป็นสถิติที่สําคัญอีกอันหนึ่ง ที่จะทําให้ประเทศไทยมีข้อมูลเชิงลึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเราบ้าง การใช้ประโยชน์ที่ดินนั้นมีความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ไหนมากหรือน้อยเพียงอย่างไร”
กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน พื้นที่นำร่องการสำรวจสิทธิในที่ดินทำกินเพื่อเข้าถึงไฟฟ้าและประปา
ความร่วมมือเรื่องการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน คือ ไฟฟ้าและประปา ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วใน 2 จังหวัดนำร่อง คือกาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็น 2 จังหวัดที่ที่มีการยื่นคำขอเข้าถึงไฟฟ้าและประปามาเป็นจำนวนมาก และหากใช้กระบวนการพิสูจน์สิทธิด้วยวิธีแบบเดิม อย่างการแปลภาพถ่ายทางอากาศรายบุคคลอาจต้องใช้เวลานานหลายปี ซึ่งนั่นจะส่งผลให้การเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอาจต้องล่าช้าไปนานกว่านั้น
“อย่างกาญจนบุรีมีผู้ยื่นคําขอประมาณ 3,900 ครัวเรือน ส่วนแม่ฮ่องสอน 17,000 ครัวเรือน แต่ประเด็นสำคัญ คือ ประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ต้องการเอกสารสิทธิ เขาแค่ต้องการสิทธิขั้นพื้นฐาน ขอแค่มีน้ํามีไฟฟ้าใช้ เราเลยต้องมาคิดกันใหม่ โดยเปลี่ยนวิธีมาเป็นการพิสูจน์สิทธิแบบกลุ่ม ที่น่าจะมีความรวดเร็วเหมาะกับสถานการณ์มากกว่า และทาง GISTDA ก็นำภาพถ่ายจากดาวเทียมมาช่วยในเรื่องนี้ โดยการดูร่องรอยการทำประโยชน์ของกลุ่มชุมชน ประกอบกับการประสานฝ่ายปกครองในพื้นที่เป็นเป็นชุดปฏิบัติการลงพื้นที่สำรวจจำนวนครัวเรือนที่ต้องการเข้าถึงประปาและไฟฟ้าเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง”
“หากมีหมู่บ้านนี้อยู่ในพื้นที่จริงก่อนปี 2557 รัฐจะถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่อนุโลมให้มีสิทธิเข้าถึงได้ ทั้งการประปาและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสามารถให้บริการได้ ณ ปัจจุบันถือว่าโครงการนำร่องนี้ ประสบความสําเร็จในระดับที่น่าพอใจ และเตรียมขยายผลไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ต่อไป” คุณรวีวรรณ กล่าวถึงโครงการความร่วมมือระหว่าง สคทช. และ GISTDA
หากมองเทคโนโลยีอวกาศหรือข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมเป็นแกนกลาง เราสามารถสรุปได้ว่า การสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแพลตฟอร์ม LANDX นี้ จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐให้เกิดขึ้นในหลายประเด็นสำคัญด้วยกัน ได้แก่
- สนับสนุนการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน – จากเดิมผู้ที่บุกรุกพื้นที่รัฐจะไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น น้ำและไฟฟ้า ได้ แต่ปัจจุบันได้มีมาตรการผ่อนผัน สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยมาก่อนปี 2557 ทำให้ประชาชนในกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานที่ดีขึ้น
- อนุญาตให้ประชาชนใช้งานที่ดินของรัฐอย่างเหมาะสม -โดยมีการสำรวจรูปแปลงเพื่อป้องกันการบุกรุกป่าเพิ่ม และส่งเสริมการเปลี่ยนพืชที่ปลูกอย่างไม่เหมาะสมกับพื้นที่ มาเป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น กาแฟ นอกจากช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวแล้ว ในทางอ้อม เมื่อกาแฟเป็นพืชที่ต้องปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ การปลูกกาแฟจึงส่งผลให้เกิดป่าตามมา
- การขับเคลื่อนตาม EUDR – เมื่อผู้นำเข้าสินค้าไปยัง EU ต้องการหลักฐานแหล่งกำเนิดสินค้าที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain traceability) รวมถึงการระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geo Location) ของแปลงปลูก เทคโนโลยีอวกาศจึงมีส่วนช่วยสร้างโอกาสสำหรับการแข่งขันของสินค้าเกษตรของไทยในตลาดโลกได้
“บทความนี้เป็นเนื้อหาที่ผลิตขึ้นโดยการสนับสนุนของ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) มิได้สะท้อนความคิดเห็นของ National Geographic และกองบรรณาธิการของ National Geographic ฉบับภาษาไทย”