“เด็กอายุ 16 คนหนึ่งบอกกับเราว่าเขาอยากเป็นนักชีววิทยาทางทะเล
อยากวิจัยปะการัง และอยากใช้ภาพถ่ายใต้น้ำทำให้คนหันมาสนใจทะเล”
ความตั้งใจเหล่านี้ดูเหมือนเป้าหมายของผู้ใหญ่ แต่กลับถูกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายและมั่นใจ จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้เด็กคนหนึ่งมองเห็นเส้นทางชีวิตของตัวเองได้จัดเจนขนาดนี้ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม
เราได้ยินชื่อปันปัน ติณห์ภัทร เนตรจรัสแสง ครั้งแรกจากชิน ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย ช่างภาพใต้น้ำและนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกที่ทำงานร่วมกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิ ฉบับภาษาไทยมานาน เขาเล่าให้ฟังถึงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่เขาเจอในงานประกาศรางวัล Wildlife Photography of the Year 2025 ที่ลอนดอนเมื่อเดือนที่ผ่านมา วันนั้นปันได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในรุ่นเยาวชน ส่วนชินได้รางวัล Highly Commended ในประเภท Oceans – The Bigger Picture ซึ่งชินบอกเราว่า “เด็กคนนี้น่าสนใจดี”
ระหว่างที่คุยกับปัน ภาพที่เราเห็นคือเด็กหนุ่มที่มีเรื่องราวของทะเลอยู่เต็มหัวใจ เขาพูดถึงน้ำ การถ่ายภาพ และสัตว์น้อยใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย จากบทสนานั้นเองที่ทำให้เราค่อย ๆ รู้ว่าเส้นทางชีวิตที่ชัดเจนของเขาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะได้รางวัล แต่เกิดจากความผูกพันวันแล้ววันเล่าที่เขาได้อยู่กับทะเล

จุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพใต้น้ำ
“ผมถ่ายภาพใต้น้ำเพราะชอบดำน้ำครับ ผมสอบใบอนุญาตดำน้ำ (Scuba) ได้ตอน 10 ขวบ แต่ก่อนหน้านั้นคุณพ่อ (นครินทร์ เนตรจรัสแสง) ก็พาไปดำน้ำตื้น (Snorkeling) เป็นประจำอยู่แล้ว” ปันเกริ่นเรื่องของเขาให้เราฟังคร่าว ๆ ก่อนจะเล่าต่อ ซึ่งดูเหมือนเขารู้ว่าเราจะถามต่อว่าเรื่องไหน
ผมชอบทะเลตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ ชอบดูสารคดี อ่านหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเล ตอนเด็ก ๆ ผม crazy มากขนาดจำชื่อหนอนทะเลในหนังสือได้ทุกตัว (หัวเราะ)
ผมยังจำความรู้สึกตอนดำน้ำแบบสกูบาครั้งแรกได้ว่ามันงงไปหมด แต่พอร่างกายชินแล้วมันให้ความรู้สึกคนละแบบกับการดำน้ำติ้นเลยครับ ที่ใต้น้ำมันทั้งเงียบ ทั้งสงบ เป็นเหมือน safezone ที่ปกป้องผมจากโลกบนบกที่วุ่นวายและกดดัน เวลาเตะขาผมจะชอบจินตนาการว่าตัวเองเป็นนักบินอวกาศที่กำลังออกสำรวจโลกใบใหม่ ซึ่งโลกใบนั้นมันสวยมาก และผมก็อยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นเหมือนผม

อยากรู้เรื่องภาพใต้น้ำใบแรก
ภาพใต้น้ำใบแรกของผมหรอ มันพัง พังแบบ 100% เลยครับ มันเป็นภาพปะการังที่ผมถ่ายด้วยกล้องคอมแพคที่คุณพ่อให้พกติดตัวตอนลงน้ำ ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการถ่ายภาพเลย รู้แค่ว่าถ้าลงน้ำไปแล้วเห็นอะไรน่าสนใจต้องกดถ่ายไว้ก่อน ภาพที่ได้เลยเป็นสีขาวทั้งเฟรม เพราะผมใช้แฟลชแรงเกินไป
รู้สึกเสียดายบ้างหรือเปล่า
ไม่เลยครับ ต้องขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะมันทำให้ผมรู้ว่าการถ่ายภาพใต้น้ำไม่ใช่เรื่องง่าย
ผ่านมา 6 ปี ปันตอนนั้นกับตอนนี้แตกต่างกันมากไหม
ผมมองว่าตัวเองเติบโตขึ้นมากเลยนะ นอกจากเรื่องทักษะการใช้กล้องและมุมมองแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัด ๆ คือ Mindset ในการถ่ายภาพครับ คือผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเด็กชอบดำน้ำที่อยากได้ภาพสวย ๆ แล้ว แต่ผมเป็นช่างภาพใต้น้ำที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวของทะเล
เพราะคิดแบบนี้ ผมเลยต้องฝึกให้ตัวเองตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นลึกและรอบด้านขึ้น หากเป็นไปได้ ผมจะไม่รีบกดชัตเตอร์ ผมจะใช้เวลากับสิ่งตรงหน้าค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ สังเกต ถ้าเจอปลาที่น่าสนใจ ผมจะโฟกัสแค่ตัวนั้นตัวเดียว และคอยมองตามว่ามันไปไหน มีพฤติกรรมอะไรที่น่าหยิบมาเล่าบ้าง

มองความความท้าทายเป็นครู
จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ เพราะใต้น้ำมีอุปสรรคเยอะ ทำให้ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่เอาจริง ผมว่าการถ่ายใต้น้ำก็คล้าย ๆ กับการถ่ายภาพบนบกนั่นแหละครับ แต่มันจะยากกว่าหน่อยตรงที่ใต้น้ำมีหลายเรื่องที่ต้องโฟกัสพร้อมกันมากกว่า
แต่ถ้าถามว่าอุปสรรคที่เป็นความท้าทายของช่างภาพใต้น้ำจริง ๆ คืออะไร ผมมองว่าเป็นเรื่องแสงครับ เพราะปกติเวลาอยู่ใต้น้ำเราก็มองอะไรไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว แต่ถ้ายิ่งดำลงไปลึก ๆ คลื่นแสงของสีจะค่อย ๆ หายไป จนในที่สุดเราจะเห็นทุกอย่างเป็นสีฟ้า ถึงตรงนั้นก็มองไม่ออกแล้วครับว่าอะไรเป็นอะไร ต้องอาศัยประสบการณ์อย่างเดียว
มีบ้างไหมที่ลงน้ำไปแล้วไม่ได้ภาพที่ต้องการเลย
ก็มีนะครับ เสร็จจากไดร์ฟต้องกลับขึ้นมาดูเลย ว่าผมถ่ายพลาดตรงไหน จะแก้ยังไง แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า The sea is unpredictable ผมอาจกำหนดแผนคร่าว ๆ ได้ว่าไดร์ฟนี้จะไปที่ไหน ไปเจอตัวอะไร ต้องถ่ายยังไง แต่บางทีไปแล้วไม่เจอตัวอะไรเลยก็มี หรือเจอก็อาจมีอุปสรรค ทำให้ต้องดำน้ำหลายไดร์ฟกว่าจะได้ภาพที่อยากถ่ายจริง ๆ
แล้วภาพ Jellied Meal ที่ได้รางวัลล่ะ ได้มายากไหม
จริง ๆ ภาพนี้ผมได้มาตอนใกล้จะจบไดร์ฟแล้วครับ ตอนนั้นผมไปดำน้ำที่เกาะโลซินและกำลังลอยตัวอยู่ที่ Safety Stop พอดีผมเหลือบไปเห็นเต่าทะเลกับวัตถุสีขาวลอยอยู่ไกล ๆ ผมเลยตัดสินใจว่ายไปดู เพราะกลัวว่าจะเป็นถุงพลาสติก แต่พอเห็นว่าเป็นแมงกะพรุน เลยลอยตัวอยู่ห่าง ๆ แล้วบันทึกโมเมนต์นั้นเอาไว้
สิ่งที่ทำให้ภาพนี้พิเศษ คือมันมี 2 เรื่องราวซ้อนทับกันอยู่ครับ เรื่องแรกคือความสวยงามของชีวิต ที่ผมนำเสนอผ่านแอคชั่นของสัตว์ ส่วนอีกเรื่องคือการสะท้อนถึงปัญหาขยะพลาสติก ที่กำลังคุกคามชีวิตสัตว์ทะเลทั่วโลก ที่ผมอยากย้ำประเด็นนี้เพราะว่า ในแต่ละปีมีสัตว์ทะเลที่ตายเพราะกินพลาสติกเยอะมาก โดยเฉพาะเต่าทะเลที่มักเข้าใจผิดคิดว่าพลาสติกคือแมงกะพรุน ซึ่งเป็นอาหารโปรดของมัน

ปันเคยเล่าว่ารางวัลนี้คือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้อยากลุกขึ้นมาสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
ใช่ครับ แต่ก่อนหน้านี้ผมก็สนใจประเด็นพวกนี้อยู่แล้วนะ ก็มีถ่ายพวกอวนผี (Ghost net) หรือปะการังฟอกขาวอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมถ่าย Animals behavior มากกว่า แต่พอรู้ว่าผมได้รับรางวัลจาก Wildlife Photography of the Year ผมก็รู้ตัวทันทีว่าผมต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นอย่างน้อยก็ในฐานะกระบอกเสียงของทะเล
เพราะยังมีอีกหลายคนไม่มีโอกาสได้ไปเห็นทะเลเหมือนผม ผมเลยมองว่าในเมื่อผมลงไปเห็นกับตาอยู่เรื่อย ๆ ผมก็ควรใช้ภาพของผมเล่าให้คนอื่นได้รู้บ้างว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นในทะเล
ผมไม่ได้คาดหวังว่าภาพของผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ขนาดนั้นนะครับ แต่ถ้ามันทำให้คนรู้สึกขึ้นมานิดนึงว่าทะเลก็สำคัญ ผมก็รู้สึกว่าผมได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว
เคยมีคนบอกไหมว่าภาพของปันไปทัชใจเขา
มีครับ ล่าสุดคือตอนไปร่วมงานนิทรรศการภาพถ่ายของ Wildlife Photography of the Year 2025 ที่อังกฤษ ก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งมาแนะนำตัวกับผมว่าเขาเป็นผู้บริหารของบริษัท เขาบอกว่าชอบภาพ Jellied Meal มาก และจะกลับไปออกกฏให้บริษัทเลิกใช้พลาสติกทั้งหมด เพราะเขาสงสารเต่าทะเลและไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขยะพลาสติก

แล้วปันรู้สึกอย่างไร เวลาเห็นธรรมชาติที่เคยสวยงามเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี
เสียใจครับ ที่สิ่งดี ๆ ต้องหายไป ผมขอยกตัวอย่างเป็นเกาะโลซินที่ผมไปทุกปีแล้วกัน ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมไป ผมเห็นทุ่งปะการังเขากวาง (Staghorn Coral) ที่สวยและใหญ่มาก ๆ
พอกลับมาอีกครั้งในปีต่อมาปะการังเขากวางบริเวณนั้นก็หักไปเยอะเลยครับ คิดว่าน่าจะมาเกิดจากเรือประมงผิดกฏหมายที่แอบเข้ามาในพื้นที่ ตอนที่การป้องกันละหลวมช่วงโควิดระบาด แล้วเขาใช้อวนจับปลาลากไปบนพื้นทะเล
ล่าสุดผมกลับไปปีที่แล้ว ทุ่งปะการังที่ว่ากลายเป็นปะการังฟอกขาวไปเกือบหมดแล้ว ในฐานะที่ผมก็เป็นคนที่รักทะเลมากคนหนึ่ง ผมเห็นแล้วน้ำตาไหลเลย ปกติเวลาดำน้ำแล้วจะมีความสุข แต่ครั้งนั้นผมรู้สึกเศร้าเหมือนความสดใสถูกพรากไป

ความฝันของปันคืออะไร
ผมอยากเป็นนักชีววิทยาทางทะเล เหตุผลหลัก ๆ คือ ผมรักทะเลครับ และไม่อยากให้ทะเลเป็น Safe Zone ของผมคนเดียว แต่อยากให้มันเป็นพื้นที่ปลอยภัยของทุกชีวิตด้วย
รู้ตัวเมื่อตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าอยากทำงานสายนี้
ตั้งแต่ที่ดำน้ำนั่นแหละครับ พอยิ่งดำน้ำบ่อยขึ้นก็ยิ่งเจอเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ผมฉุกคิดว่า ผมควรลงมือทำอะไรสักอย่าง
ผมเคยเห็นปลากระโทงตัวหนึ่งว่ายน้ำด้วยท่าทางแปลก ๆ พอสังเกตดี ๆ ก็เห็นว่าที่หางของมันมีเศษอวนติดอยู่ ขนาดตรงนั้นอยู่กลางทะเลตั้งไกล แต่สัตว์ก็ยังได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์อยู่ดี
หรือจะเป็นเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน ที่เกาะบอน ที่ผมไปดำน้ำกับคุณพ่อแล้วเจออวนผีเกยอยู่กับปะการัง พอผมดำลงไปดู ก็เห็นปลาวัวหลายตัวติดอยู่ในนั้น แต่ละตัวดูทรมานมาก อ้าปาก ตาลอย เหมือนหมดแรงไปแล้ว ด้วยความที่อวนทั้งใหญ่ทั้งหนัก พวกเราเลยช่วยออกมาได้แค่ 3 ตัว คุณพ่อรีบขึ้นไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ส่วนผมก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนั้นจะมีคนไปจัดการต่อ

วางแผนอนาคตไว้อย่างไรบ้าง
ตอนนี้ผมอายุ 16 ปี สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือตั้งใจเรียนครับ ผมอยากเรียนต่อด้าน Marine Science ที่สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาทำงานอนุรักษ์ทะเลในประเทศไทย
ผมอยากใช้ทั้งสองสิ่งที่ผมชอบขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ไปด้วยกันครับ วิทยาศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับทะเล ส่วนภาพถ่ายจะช่วยสื่อสารให้คนทั่วไป “รู้สึกอิน” กับมัน
ผมยอมรับรับว่ายังไม่เห็นภาพอนาคตของตัวเองว่าจะกลับมาทำงานกับใครหรือหน่วยงานไหน แต่ผมว่าได้ทำงานคล้าย ๆ กับพี่ชิน ศิรชัยก็ดีนะครับ คือเป็นช่างภาพใต้น้ำที่สื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างตรงไปตรงมา และก็ทำงานวิจัยควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทะเล
สนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างไหม
ผมสนใจเรื่องปะการังครับ และตอนนี้ผมกำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ ในอนาคตถ้าผมเรียนจบ ผมอยากทำโครงการวิจัยปะการังเทียมจากวัสดุ low Carbon ในพื้นที่ที่ไม่ใช่แนวประการังเดิมเพื่อเพิ่มพื้นที่ยึดเกาะให้กับตัวอ่อนปะการัง
ที่ผมสนใจปัญหานี้มากกว่าปัญหาอื่น เพราะผมมองว่าการอนุรักษ์ปะการัง เป็นหนึ่งในวิธีดูแลสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนที่สุดครับ ถ้าทำสำเร็จจะช่วยให้ระบบนิเวศสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรหรือเทคโนโลยีที่ซับซ้อน พอสิ่งแวดล้อมมีเสถียรภาพ ปะการังจะเติบโตและสร้างระบบนิเวศใหม่ กลายแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เป็นกำแพงกันคลื่น และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้ด้วย
ในฐานะคนรุ่นใหม่ ปันอยากบอกอะไรกับเพื่อนวัยเดียวกันที่ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม
ผมว่าเพื่อน ๆ หลายคนน่าจะเคยคิดเหมือนผม ตอนเด็ก ๆ ผมเคยคิดว่าผมคนเดียวจะช่วยทะเลได้จริงหรอ เพราะโลกเรามีประชากรตั้งแปดพันล้านคน ผมทำอะไรลงไปก็คงไม่สำคัญหรอก แต่พอมาคิดอีกที ถ้าทุกคนคิดแบบเดียวผม คงไม่มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นบนโลกแน่
ผมอยากบอกทุกคนว่าเริ่มลงมือเลยครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน มีทรัพยากรอะไร คุณเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างเลิกใช้ถุงพลาสติกก็ได้ครับ ถ้าทุกคนช่วยกันมันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ
เรื่อง อรณิชา เปลี่ยนภักดี
ภาพ ติณห์ภัทร เนตรจรัสแสง, นครินทร์ เนตรจรัสแสง, จิรวัฒน์ ดีรักษา และฤทธิรงค์ จันทองสุข
อ่านเพิ่มเติม : เมธาวี จึงเจริญดี
นักวิจัยฉลามกับบทพิสูจน์ที่ ‘ไม่ง่าย’ ในประเทศไทย
