ผลข้างเคียง เช่น อาการหนาวสั่น ปวดหัว และเหนื่อยล้า หลังจากฉีดวัคซีนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองต่อวัคซีนอาจต่างกันออกไปในแต่ละคน และไม่ได้สะท้อนว่าระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของเราจะตอบสนองต่อการติดเชื้อโควิด-19 อย่างไร
ผลข้างเคียง เป็นสิ่งที่ยั้บยั้งผู้คนไม่ให้เข้ารับวัคซีนมากที่สุด
การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ผลค้างเคียงบางอย่าง ซึ่งแม้กระทั่งผลที่มาจากการได้รับวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้เกิดจากการฉีด แต่เกิดจากความกลัวของผู้ที่ได้รับวัคซีนเอง “เราเห็นสิ่งนี้จากในกองทัพ (สหรัฐฯ) เมื่อทหารใหม่ๆ คิดว่าสามารถอดทนได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นลมไปช่วงการฉีดวัคซีนเนื่องจากร่างกายมีปฏิกริยาตอบสนองมากเกินไป” Robert Jacobson ผู้อำนวยการด้านการแพทย์โครงการสาธารณสุขศาสตร์แห่งมาโยคลินิก สหรัฐอเมริกา กล่าว
นั่นเป็นบทเรียนที่มีประโยชน์สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถยืนยันกับคนไข้ได้ว่าผลข้างเคียงโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องปกติและสามารถคาดเดาได้ แม้ว่าเป็นผลที่ไม่ได้เกิดจากการฉีดวัคซีนเองก็ตาม เช่นกรณีศึกษาจากวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์-ไบโอเอนเทค (Pfizer-BioNTech) ร้อยละ 23 ของผู้ที่มีอายุ 16-55 ปีซึ่งได้รับยาหลอกได้อ้างว่ามีอาการเหนื่อยล้าหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 และร้อยละ 24 ระบุว่ามีอาการปวดหัว
นอกจากนี้ งานศึกษาพบว่ามากกว่า 7 ใน 10 คนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่สองมีปฏิกิริยาบางอย่าง บางคนรู้สึกถึงอาการปวดแขนข้างที่ได้รับการฉีดวัคซีน บางคนเจอกับอาการคันหรือผื่นคัน หรืออาการที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัด เช่น มีไข้และหนาวสั่น ปวดหัว หรือ อ่อนเพลีย ซึ่งทำให้ล้มป่วยได้ 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่จะคำนึงถึงผลข้างเคียงเหล่านี้ Jacobson กล่าวและเสริมว่า เนื่องจากปฏิกิริยานี้ไม่รุนแรง ชั่วคราว และ อาจหายไปเองใน 2-3 วัน
สิ่งใดทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน
ในกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติ (ในสหัฐฯ) เช่นไฟเซอร์ โมเดิร์นนา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ต่างประกอบไปด้วยรหัสทางพันธุกรรมในการผลิตสไปก์โปรตีน (spike protein) ซึ่งอยู่ในที่พื้นผิวของไวรัสโคโรนาและทำให้เข้าไปในเซลล์ของมนุษย์ เมื่อเซลล์เหล่านี้ได้รับวัคซีน เซลล์จะผลิตสไปก์โปรตีน แต่เนื่องจากเซลล์จะผลิตชิ้นส่วนของไวรัส ไม่ใช่ตัวเชื้อก่อโรค ( pathogen) ทั้งหมด เราจึงไม่ได้ป่วย แต่แม้สไปก์โปรตีนที่เซลล์แปลกปลอมไม่สามารถก่อให้เกิดโรค แต่สามารถกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันสองขั้น (a two-step immune response) ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดว่าควรจะเป็นหลังได้รับวัคซีน
การตอบสนองทางร่างกายแบบฉับพลันต่อวัคซีนโควิด-19 นั้นเกิดจากภูมิคุ้มกันที่มีมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อร่างกายได้รับวัคซีน กลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าแมโครฟาจ (macrophages) ซึ่งเป็นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อการติดเชื้อในร่างกายและเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล (Neutrophil) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ จะมาถึงในจุดที่ได้รับการฉีดวัคซีนและเริ่มผลิตสารเคมีที่เรียกว่าไซโตไคเนส (cytokines) การตอบสนองนี้กระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ ตั้งแต่อาการอักเสบ บวมพองในจุดที่ได้รับวัคซีน ไปจนถึงอาการไข้ เหนื่อยล้า และหนาวสั่น
ดังนั้น อากากรข้างเคียงเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติในการฉีดวัคซีน ซึ่งเรียกว่า การตอบสนองต่อวัคซีน (reactogenicity) ซึ่งหมายถึงวัคซีนได้กระตุ้นการตอบสนองและก่อให้เกิดอาการต่างๆ
ทำไมปฏิกิริยาที่มีต่อวัคซีนจึงแตกต่างกันและมันบอกอะไรเราบ้าง
ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบกับผลค้างเคียงหลังจากได้รับวัคซีนโควิด-19 บางคนอาจไม่มีผลกระทบใดๆ หลังจากได้รับวัคซีนสองเข็ม ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะเหตุผลใด Sujan Shresta นักภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งศูนย์โรคติดต่อและวิจัยวัคซีนที่สถาบันภูมิคุ้มกันวิทยา La Jolla ในแคลิฟอร์เนีย กล่าวและเสริมว่า” แต่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันออกไป”
หลายๆ ปัจจัยสามารถนำไปสู่ผลที่มีความแตกต่าง ตัวอย่างเช่นผู้หญิง ซึ่งปกติจะมีปฏิกิริยาจากภูมิคุ้มกันมากกว่าผู้ชาย ซึ่งอาจจะเป็นส่วนที่ทำให้พวกเธอมีแนวโน้มที่จะทรมานจากจากฉีดวัคซีนมากขึ้น
“เราต่างมีระบบภูมิคุ้มกันที่มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง” John Wherry ผู้อำนวยการสถาบันภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในเมืองฟิลาเดลเฟีย กล่าวและเสริมว่า “มันเหมือนกับเป็นรหัสภูมิคุ้มกันของเราเองที่เกิดจากระบบพันธุกรรม เพศ อาหาร และสภาพแวดล้อม แม้กระทั่งประวัติชีวิตของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราได้ประสบมาในอดีตและถูกฝึกมาเพื่อตอบสนองมาเป็นระยะเวลานานหลายปีครับ”
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่สามารถทราบได้อย่างแท้จริงว่าหากมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงต่อวัคซีนนั้นเป็นมาตรวัดของความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันของเราหรือไม่ เรายังไม่รู้ถึงความหมายว่าหากบางคนที่ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดที่แข็งแรงจะเปราะบางต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือจะสามารถต่อต้านได้มากกว่าเดิม “เราไม่มีข้อมูลใดๆ ในเรื่องนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีผลข้างเคียงรุนแรงจะมีผลต่อการติดโควิด ซึ่งรุนแรงหรือไม่ หรืออื่นๆ” Wherry กล่าว
ผลข้างเคียง กับ อาการที่ไม่พึงประสงค์
ทว่า ทั้งผลข้างเคียงและอาการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งหลายคนสับสน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างปกติ คืออาจเกิดขึ้นได้ร้อยละ 50 ถึง 70 ในช่วงเวลานั้น แต่อาการที่ไม่พึงประสงค์นั้นพบได้ยากและเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เช่นการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (clotting disorder)
ทันทีหลังจากที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 ถึง 5 ต่อ 1 ล้านคนอาจพบเจอกับอาการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการแพ้รุนแรงซึ่งก่อให้เกิดความดันโลหิตอย่างรุนแรงและหายใจลำบาก และถึงแม้ว่าอาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ปากกาฉีด Epipen สำหรับอาการแพ้อย่างรุนแรงและยาแก้แพ้หรือยาแอนตีฮิสตามีน (antihistamine) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนได้ถูกขอให้เฝ้าดูอากาศอยู่เป็นเวลา 15 นาทีหลังจากได้รับวัคซีน
อาการลิ่มเลือดนั้นเชื่อมโยงกับวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ซึ่งเกิดขึ้นภายในช่วง 6-13 วันหลังจากการฉีดวัคซีน ซึ่งอาจเป็นอันตรายและอาจถึงแก่ชีวิต ทว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ต่ำ มีรายงานเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น 23 กรณีจากการฉีดวัคซีน 8.4 ล้านโดส
“มันเกิดขึ้นได้ยากมากครับ” Ofer Levy ผู้อำนวยการด้านโครงการความแน่นอนของวัคซีนแห่งโรงพยาบาลเด็กแห่งบอสตันและศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวและเสริมว่า “ความเสี่ยงของการได้รับเชื้อและการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นได้จากการรับเชื้อ โควิด-19 นั้นมากยิ่งว่าการเกิดอาการลิ่มเลือดจากการได้รับวัคซีนเสียอีกครับ”