นักวิทยาศาสตร์พบ เมฆสะท้อนแสงได้น้อยลง ส่งผลให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงกว่าเดิม

นักวิทยาศาสตร์พบ เมฆสะท้อนแสงได้น้อยลง ส่งผลให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงกว่าเดิม

“เมฆกำลังสะท้อนแสงอาทิตย์น้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก” 

รายงานใหม่เผยให้เห็นว่าดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้อยู่ในภาวะพลังงานไม่สมดุลกัน การสะท้อนแสงออกไปได้น้อยลงทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น ซึ่งกำลัง ‘คร่าชีวิต’ ของโลก

ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ประมาณ 2 ใน 3 ของโลกจะถูกปกคลุมด้วยเมฆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสภาพอากาศทั้งหมด เมฆเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรน้ำทำให้ของเหลวที่จำเป็นสำหรับชีวิตเกิดการหมุนเวียน ขณะเดียวกันเมฆก็ยังมีผลกระทบสำคัญอุณหภูมิของโลกด้วยเช่นกัน 

เมฆสามารถปิดกั้นแสงและความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้อุณหภูมิของโลกเย็นลงโดยเราสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยเฉพาะในวันที่มีเมฆครึ้ม ในทางตรงข้ามเมฆก็สามารถกักเก็บความร้อนไว้ทำให้กลางคืนที่ไม่มีแสงแดดนั้นยังคงอบอุ่นไม่หนาวเย็นเกินไป ละอองลอยที่เป็นก้อนปุยนี้ช่วยให้เราไม่ร้อนเกินไปและหนาวเกินไป เป็นสมดุลที่ยอดเยี่ยม

อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมฆของโลกมีการสะท้อนแสงน้อยลง ซึ่งหมายความว่าสมดุลดังกล่าวกำลังสั่นคลอน ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Environmental Research Letters พบว่าเมฆในหลายภูมิภาคกำลังมีความสกปรกมากขึ้น และนั่นทำให้ภาวะโลกร้อนน่ากังวลมากกว่าเดิม

“ลองนึกภาพโลกเป็นกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ เมื่อเวลาผ่านไปกระจกนั้นก็สกปรกมากขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณเมฆเหนือมหาสมุทรที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป” ศาสตราจารย์ริชาร์ด อัลลัน (Richard Allan) หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง กล่าว 

“ซึ่งหมายความว่าพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกดูดซับมากกว่าที่จะสะท้อนกลับ ซึ่งส่งผลต่อความร้อนที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจก เราจำเป็นต้องค้นหาคำอธิบายว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เมฆสะท้อนแสงน้อยลง เพื่อทำความเข้าใจว่าว่าจะเกิดโลกร้อนขึ้นมาเพียงใด และเกิดเร็วเพียงใด” 

อากาศสกปรกและมลพิษทางอากาศ

ทีมวิจัยได้ทำการตรวจสอบภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2022-2023 โดยพบว่ามหาสมุทรทั่วโลกกำลังอุ่นขึ้นซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจน แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือมันอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่จะอธิบายได้ผ่านการดูดซับพลังงาน(หรือความร้อน)เพียงอย่างเดียว 

ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่ามันน่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่นความร้อนอาจกระจุกตัวอยู่ในชั้นตื้นของมหาสมุทรมากกว่าปกติ หรือไม่ก็ความร้อนส่วนเกินที่เก็บไว้ในชั้นมหาสมุทรที่ลึกกว่านั้นกลับขึ้นมายังพื้นผิว ซึ่งคำอธิบายที่สองนี้สอดคล้องกับปรากฏการณ์เอลนีโญเมื่อปี 2023 

อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาตรวจสอบสิ่งที่ลอยอยู่บนข้างบนอากาศก็พบว่า เมฆดูจะมีการสะท้อนแสงน้อยลง หรือที่เรียกว่า ‘คลาวอัลเบโด’ (Cloud albedo) โดยเฉพาะในภูมิภาคจีนตะวันออก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จในการทำให้ ‘อากาศสะอาด’ 

“ปริศนาสำคัญที่ต้องไขคือ เมฆกำลังละลายหายไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเหมือนกระจกที่มีไอน้ำเกาะหรือไม่? หรือว่ามลพิษทางอากาศที่ลดลงนี้ทำให้กระจกสว่างขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติเหมือนสเปรย์ทำความสะอาดซึ่งกำลังเสื่อมสภาพลงกันแน่?” ศาสตราจารย์ อัลลัน กล่าว

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่าเป็นสาเหตุใดกันแน่ แต่พวกเขารู้ว่าเมฆกำลังสะท้อนแสงน้อยลง และปริมาณอนุภาคละอองลอยอาจมีผลต่อรูปแบบสภาพอากาศ รวมถึงอาจส่งผลต่อความขุ่นมัวของเมฆที่ทำให้การสะท้อนแสงเปลี่ยนไป 

จำเป็นต้องมีการศึกษาที่ดีกว้างและเจาะลึกไปยังแต่ละพื้นที่กว่านี้เพื่อสร้างแนวทางในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก 

“จำเป็นต้องมีการวัดเชิงปริมาณที่ครอบคลุมมากขึ้นตามภูมิภาคโดยอิงจากการสังเกตและการสร้างแบบจำลองเพื่อปรับสมุดลุระหว่างการประมาณค่าความร้อนของมหาสมุทรแบบง่าย ๆ กับอุณหภูมิที่สังเกตได้” ทีมวิจัยเขียน 

“รวมถึงการบันทึกข้อมูลปริมาณการแผ่รังสี สิ่งเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญต่อการรักษาความสามารถในการตรวจสอบและความสามารถในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะใกล้ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น” 

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://iopscience.iop.org

https://www.eurekalert.org

https://www.earth.com


อ่านเพิ่มเติม : ผลวิจัยชี้ ภาวะโลกร้อน

ทำเชื้อไวรัสระบาดง่าย เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อจากน้ำเสีย

Recommend