Mitomeiosis การสร้างเซลล์ไข่ โดยใช้ DNA จากผิวหนัง: ความก้าวหน้าที่โลกต้องจับตา

Mitomeiosis การสร้างเซลล์ไข่ โดยใช้ DNA จากผิวหนัง: ความก้าวหน้าที่โลกต้องจับตา

“ครั้งแรกในโลก นักวิทยาศาสตร์สร้างเซลล์สืบพันธุ์

ที่มียีนจากเซลล์ผิวหนัง ซึ่งอาจช่วยให้คนที่มีบุตรยาก

หรือคนรักเพศเดียวกันมีลูกที่มีพันธุกรรมของตัวเองได้” 

งานวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่บนวารสาร Nature Communications ได้ระบุว่ามีการนำเอานิวเคลียส ซึ่งเป็นส่วนที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมส่วนใหญ่อยู่ จากเซลล์ผิวหนังธรรมดา ๆ ของมนุษย์ มาปลูกถ่ายลงในเซลล์ไข่ของผู้บริจาคที่มีการถอดเอานิวเคลียสของตัวเองออก 

จากนั้นทีมวิจัยก็เพาะเซลล์สืบพันธุ์ที่ยังไม่เจริญเต็มที่จากเซลล์เหล่านั้นออกมา 82 เซลล์ แล้วนำไปทดสอบการปฏิสนธิ ผลลัพธ์ที่ได้คือเซลล์ผิวหนังที่เป็นไข่ซึ่งมีดีเอ็นนี้ สามารถปฏิสนธิกับอสุจิของผู้อื่นได้ นับเป็นครั้งแรกในโลกที่นักวิทยาศาสตร์สามารถผลิตเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์จากเซลล์ทั่วไป

ความก้าวหน้านี้จะเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือภาวะผู้มีบุตรยาก และอาจช่วยให้ผู้ที่รักเพศเดียวกันมีบุตรที่มีพันธุกรรมของตัวเองได้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ทศวรรษกว่าที่เทคนิคนี้จะพร้อมใช้งานในทางคลินิก แต่ก็ถือเป็นความก้าวหน้าที่น่าทึ่งซึ่งจะก่อให้เกิดการถกเถียงตามมาอย่างแน่นอน

“สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น หรือผู้หญิงที่ไม่มีไข่ไม่ว่าจะโดยเหตุผลใดก็ตาม (เช่นเคยได้รับการรักษามะเร็งมาก่อน) สามารถมีลูกที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมได้” ดร. พอลล่า อามาโต (Paula Amato) ผู้เขียนร่วมของงานวิจัยนี้และศาสตราจารย์ด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอไฮโอซู กล่าว

พร้อมเสริมว่า “นอกจากนี้ จะยังช่วยให้คู่รักเพศเดียวกัน (เช่นผู้ชายสองคน) สามารถมีลูกที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับทั้งคู่ได้” 

เปลี่ยนผิวหนังให้ปฏิสนธิได้

ปัจจุบัน ภาวะมีบุตรยากส่งผลกระทบต่อคนนับหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีการนิยามอย่างเป็นทางการว่า ‘เป็นภาวะที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จหลังจากพยายามมา 12 เดือน’ อาจมีสาเหตุจากหลายประการ แต่หนึ่งในนั้นคือ เซลล์สืบพันธุ์ที่ทำงานอย่างไม่ถูกต้อง ไมว่าจะเป็นสเปิร์ม ไข่ หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน 

ปกติแล้ววิธีรักษาที่เป็นไปได้หากเกี่ยวข้องกับเซล์สืบพันธุ์ก็คือ เทคนิคที่เรียกว่า in vitro gametogenesis (IVG) โดยเป็นการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ซึ่งใช้สารพันธุกรรมของผู้ป่วยเอง วิธีนี้ประสบความสำเร็จในหนูแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำได้ในมนุษย์

วิธีก็คือ จับเซลล์ที่โตเต็มวัยเช่นผิวหนังหรือเลือดให้กลายเป็นเซลล์ที่มีชื่อว่า เซลล์ต้นกำเนิดพลูริโพเทนต์ (induced pluripotent stem cells หรือ iPS cells) ใส่นิวเคลียสที่มีพันธุกรรมเข้าไป แล้วเปลี่ยนเซลล์ iPS ให้กลายเป็นเซลล์สืบพันธุ์ 

กล่าวอย่างง่ายที่สุด นำเซลล์ทั่วไปมา เอาดีเอ็นเอของมันออกไปทำให้มันย้อนกลับไปเป็นเซลล์ที่พร้อมจะพัฒนาเป็นเซลล์ต่าง ๆ อีกครั้ง แล้วใส่ดีเอ็นเอที่ต้องการเข้าไป ท้ายที่สุดก็กระตุ้นให้มันกลายเป็นเซลล์ที่พร้อมสืบพันธุ์ 

แต่ปัญหาคือ วิธีเหล่านี้มักทำให้ได้เซลล์ที่มีโครโมโซมเกินมา ซึ่งปกติแล้วเซลล์สืบพันธุ์ของมนุษย์จะมีโครโมโซมอยู่ที่ 23 ชุด หรือก็คือครึ่งหนึ่งของโครโมโซมที่พบในเซลล์ร่างกายส่วนใหญ่ ดังนั้นเซลล์ที่ถูกสร้างนี้จึงมักมี 46 ชุด 

ทีมวิจัยจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการพัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า ไมโทไมโอซิส (mitomeiosis) คนที่เคยเรียนชีววิทยาตอนมัธยมปลายอาจคุ้นเคยคำเหล่านี้ มันก็คือกระบวนการแบ่งเซลล์ตามธรรมชาตินั่นเอง 

“นิวเคลียส์ (ที่มีดีเอ็นเอ) ของเซลล์ผิวหนังจากเซลล์ตั้งต้น (ในบริบทนี้อาจเป็นของผู้ที่ต้องการจะมีบุตร) จะถูกถ่ายโอนไปยังเซลล์ไข่ของผู้บริจาคซึ่งนิวเคลียสถูกนำออกแล้ว” อามาโต อธิบาย 

จากนั้นไข่ที่สร้างขึ้นใหม่จะได้รับการกระตุ้นขับส่วนประกอบของโครโมโซมออกมาครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้โครโมโซมที่มี 23 โครโมโซมพอดิบพอดี มันก็จะพร้อมที่จะปฏิสนธิกับอสุจิ ซึ่งท้ายที่สุดก็หวังว่ามันจะสร้างเซลล์ที่มีโครโมโซม 46 โครโมโซมตามปกติ

ตามรายงานใหม่ระบุว่า ทีมวิจัยได้สร้างเซลล์ไข่ที่มีดีเอ็นเอจากเซลล์ตั้งต้นอื่นจำนวน 82 เซลล์ และนำไปทดลองปฏิสนธิเข้ากับอสุจิของผู้บริจาค ผลลัพธ์นั้นมีความหลากหลาย เซลล์ที่ได้ส่วนใหญ่หยุดพัฒนาการในระยะแบ่งตัว 4-10 เซลล์ 

ประมาณร้อยละ 9 ยังคงพัฒนาเป็นบลาสโตซิสต์ (Blastocyst; ระยะที่เกิดขึ้นหลังปฏิสนธิ 5-7 วัน) ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำ ทว่ามันเป็นการสาธิตและพิสูจน์ว่าวิธีนี้มีศักยภาพที่จะทำให้สำเร็จได้ การทดลองยุติลงในวันที่หกของการพัฒนา เนื่องจากคือจุดที่ระยะบลาสโตซิสต์ที่กำลังพัฒนาจะถูกฝังเข้าไปในตัวผู้ป่วย

ยังไงก็ตามระยะบลาโตซิสต์แสดงสัญญาณผิดปกติบางอย่างคือ มีการขับโครโมโซมเพิ่มเติมออกมาระหว่างกระบวนการ นี่จึงเป็นความท้าทายที่ต้องไปจัดการต่อไป

“ผมคิดว่านี่เป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวไปสู่ความสามารถในการใช้เซลล์ผิวหนังเพื่อสร้างเซลล์ไข่สำหรับการสืบพันธุ์ของมนุษย์ในอนาคต เมื่อเราสามารถพิสูจน์ได้ว่าวิธีนี้ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ” ดร. ซิกัล คลิปสไตน์ (Sigal Klipstein) ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อสืบพันธุ์จากสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์แห่งอเมริกา กล่าว “หลักฐานของแนวคิดนี้น่าสนใจมาก” 

เทคโนโลยีและปัญหาที่จะต้องตามมาแน่นอน

หาก IVG ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์แบบ เทคโนโลยีนี้อาจนำไปประยุกต์ใช้งานได้มากกว่าแค่ช่วยเหลือผู้หญิงที่มีบุตรยาก 

ตัวอย่างเช่น IVG อาจช่วยให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถมีลูกที่มีพันธุกรรมเกี่ยวข้องกันกับทั้งคู่ได้ นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างไข่จากเซลล์ผิวหนังของฝ่ายชายคนหนึ่ง และปฏิสนธิกับอสุจิของฝ่ายชายอีกคนได้ ซึ่งจะสร้างผลกระทบตามมาอย่างมหาศาลตั้งแต่ทางจริยธรรม สังคม และกฎหมาย

รวมไปถึงปัญหาที่ซับซ้อนอย่างการสร้าง ‘ทารกที่ผ่านการออกแบบ’ ที่พ่อแม่สามารถเลือกได้แทบทุกอย่างว่าอยากให้ลูกมีลักษณะนิสัยยังไง

“เราอาจเห็นความพยายามมากขึ้นในการพยายามใช้สิ่งนี้เพื่อจุดประสงค์ที่เรียกว่าการปรับปรุงคุณภาพ เพื่อให้ได้ตัวอ่อนที่แข็งแรงขึ้น มีความสามารถทางกีฬามากขึ้น มีความสามารถทางดนตรี เก่งคณิตศาสตร์ หรือแม้แต่ฉลาดขึ้น” แฮงค์ กรีลี (Hank Greely) นักชีวจริยธรรมจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว 

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้อาจทำให้ผู้คนขโมยเซลล์ผิวหนังจากบุคคลอื่น เช่น คนดัง และสร้างทารกจากดีเอ็นเอของคนเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัวหรือไม่ได้รับอนุญาต 

“เราอาจมีลูกแบบเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ทั่วโลก มันเป็นไปได้ทางทฤษฎี และไม่ใช่เรื่องไม่น่าจะเป็นไปได้” โรนัลด์ กรีน (Ronald Green) นักชีวจริยธรรมจากวิทยาลัยดาร์ตมัธ กล่าว “มันเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มดีมาก แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามทางจริยธรรมที่น่ากังวลหลายประการ”

อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้าง “uni-baby” หรือเด็กที่มีพันธุกรรมของบุคคลเพียงคนเดียว

“นั่นเป็นความเป็นไปได้ที่แปลกมาก” กรีลีกล่าว “จะมีใครอยากทำแบบนั้นบ้างไหม? ในโลกนี้มีประชากร 8 พันล้านคน และบางคนก็มีอีโก้สูง ​​บางคนก็รวยมาก ดังนั้นผมจึงไม่รับประกันว่าจะไม่มีใครอยากทำแบบนั้น”

ความกังวลเหล่านี้จะต้องมีการถกเถียงกันต่อไป แต่อย่างน้อยในตอนนี้มันก็พิสูจน์ได้ว่าวิธนี้ได้ผล และอาจช่วยเหลือผู้หญิงหลายล้านคนที่อยากมีลูกตามปกติ ซึ่งเป็นจุดประสงค์แรกของการวิจัย

“เพื่อช่วยให้ผู้หญิงเหล่านี้เริ่มต้นหรือสร้างครอบครัว จำเป็นต้องมีการรักษาทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เนื่องจากการแพทย์ฟื้นฟูการเจริญพันธุ์ไม่ได้ผล และการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) กำลังถึงขีดจำกัดในการรักษาภาวะมีบุตรยากประเภทนี้” อแมนดา คลาร์ก (Amander Clark) ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาโมเลกุล เซลล์ และพัฒนาการ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส กล่าวอย่างมองโลกในแง่ดี

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.nature.com

https://www.sciencealert.com

https://www.npr.org

https://www.theguardian.com


อ่านเพิ่มเติม : นักวิทยาศาสตร์ผสม DNA

ของคน 3 คนเข้าด้วยกัน

เพื่อให้ทารกที่เกิดมาไม่มีโรคทางพันธุกรรม

 

Recommend