ทำไมบางสถานที่ถึงให้ความรู้สึกเหมือนมีผี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย

ทำไมบางสถานที่ถึงให้ความรู้สึกเหมือนมีผี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย

“ตั้งแต่ทางเดินมืด ๆ ไปจนถึงเสียงสะท้อนตามมุมต่าง ๆ

สถาปัตยกรรมที่น่าขนลุกเหล่านี้กำลังปลุกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในอดีตของเรา”

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า หลายครั้งที่เราคิดว่าบ้านหรือโรงแรมเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่คาดเดาได้ แต่เมื่อเราก้าวเข้าไปในทางเดินที่ทอดยาวเกินกว่าที่ดวงตาจะจับโฟกัสได้ ชีพจรของเราก็เต้นเร็วขึ้นก่อนจะรู้ด้วยซ้ำว่าทำไม ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ

แต่กลับเป็นการตีความของสมองที่ผิดเพี้ยน สภาพแวดล้อมตั้งแต่สถาปัตยกรรม กำแพง แสง และเสียงสามารถหลอกลวงประสาทสัมผัสของเรา เปลี่ยนสถานที่ที่คุ้นเคยให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคุ้นเคยอย่างน่าขนลุก และมันเป็นวิทยาศาสตร์อย่างถึงที่สุด

สมองของเราสำรวจพื้นที่อย่างไร

โดยทั่วไปแล้วเมื่อเราเข้าสู่พื้นที่ใหม่ ๆ ที่อากาศเปลี่ยนไป แสงเปลี่ยนไป และในชั่วขณะหนึ่งร่างกายของเราจะหยุดนิ่ง นั่นเป็นเพราะ “สมองจะเริ่มสร้าง ‘แผนที่’ ภายในของพื้นที่นั้นเกือบจะทันที ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างเชิงพื้นที่และรูปแบบของพื้นที่” ลิซา จิโอโคโม (Lisa Giocomo) ศาสตราจารย์ด้านประสาทชีววิทยา จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว 

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า กำแพง มุม และจุดสังเกตที่โดดเด่นช่วยให้เรากำหนดทิศทางการเคลื่อนของเราโดยไม่รู้ตัว เมื่อแผนที่ภายในนี้ก่อตัวขึ้น สมองก็จะใส่ความหมายที่ดึงมาจากความทรงจำและประสบการณ์ของเราลงไป เช่นจำว่ารูปแบบนี้คือร้านอาหาร ทำให้เกิดการรับรู้ว่าตรงนี้น่าจะเป็นที่สั่งอาหารหรือที่จ่ายเงิน  “สมองใช้แผนที่นี้เพื่อไม่เพียงแต่รู้ว่าปัจจุบันของเราอยู่ที่ไหน แต่ยังรวมถึงจุดที่เราจะไปในอนาคตภายในพื้นที่นั้นด้วย” จิโอโคโมกล่าว

มันเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งเรียกว่าเป็นการประมวลผลเชิงคาดเดา หรือก็คือกระบวนการที่ทำให้เรารู้ว่า ‘พื้นที่’ ใดปลอดภัย แต่เมื่อพ้นพื้นที่เหล่านั้นออกไปแล้ว ระบบก็ล้มเหลว และความรู้สึกปลอดภัยของเราก็จะสั่นคลอน 

ทำไมมันถึงก่อให้เกิดความไม่สบายใจ โดยเฉพาะความเสื่อมโทรมของพื้นที่

สมองของเราถูกปรับให้รับรู้สัญญาณของความเสียหายหรือความเสื่อมของพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นความเก่า กลิ่นเน่า รา ฝุ่น หรืออาคารร้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเสื่อมสลายทางชีวภาพ 

“สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นเราว่าพื้นที่นี้ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย” เบธ ทอค (Beth Tauke) รองศาสตราจารย์ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัฟฟาโล ผู้ทำการวิจัยที่ศูนย์การออกแบบเชิงบูรณาการและการเข้าถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การออกแบบเชิงประสาทสัมผัสและการรับรู้เชิงพื้นที่ กล่าว

“จากนั้นลองนึกถึงเสียงฝีเท้าที่ดึงอยู่ (ของเรา) ซึ่งขยายความโดดเดี่ยวให้มากขึ้น สุดท้ายลองนึกถึงอากาศที่เย็นและชื้น ซึ่งก็ชวนให้นึกถึงบรรยากาศใต้ดิน” 

เมื่ออาคารที่เคยสวยงามอลังการกลายเป็นความรกร้าง มันก็ชวนให้นึกถึงความตายและการโดนทิ้ง หลายครั้งก็ทำให้เราเกิดคำถามว่าใครเคยเดินทางมาที่นี้ และเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

“ช่องว่างระหว่างเรื่องราวเหล่านี้ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางสายตา ก็ไปกระตุ้นเครือข่ายโหมดตั้งต้นของสมอง ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้สำหรับจินตนาการและความทรงจำ ทำให้พื้นที่นี้ราวกับโดนผีสิง” ทอค อธิบาย “สมองของคุณเล่าเรื่องเพื่อให้ตัวเองเข้าใจถึงความพินาศ และเรื่องราวเหล่านั้นก็มักจะเอนเอียงไปยังมุมของอันตรายหรือการสูญเสีย” 

ความสับสนหลอกหลอนจิตใจ

สถานที่ที่เรียกกันว่า ‘หลอน’ นั้นมักจะสร้างความสับสนให้กับสมองที่เราใช้ในการเดินทาง เช่น ทางเดินที่เหมือนเขาวงกต โค้งที่ดูเหมือนจะเป็นโค้งสุดท้ายแต่ก็ไม่ใช่ ทุกทางแยกดูเหมือนกันไปหมด ทางเดินยาวที่เรียงรายไปด้วยกำแพง ประตู และภาพวาดที่ซ้ำกันสองข้างทาง ทั้งหมดนี้ทำให้เราไม่แน่ใจว่าเราเคยอยู่ตรงไหนหรือจะไปทิศไหนดี 

“เมื่อไม่มีสถานที่สำคัญหรือจุดสิ้นสุดที่มองเห็นได้ สมองของเราก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะบอกว่าเราอยู่ที่ไหนในพื้นที่นี้” ทอค กล่าว “สิ่งนี้ทำให้เกิดความสับสนเล็กน้อย และส่งสัญญาณว่าอาจมีบางอย่างที่ไม่ปลอดภัยหรือผิดปกติ” 

งานวิจัยในปี 2021 เกี่ยวกับรูปแบบและอารมณ์ทางสถาปัตยกรรมพบว่า ความซับซ้อนเชิงพื้นที่ ความโค้ง และแสงที่เปลี่ยนไป ต่างมีอิทธิพลต่อความตื่นตัวทางสรีรวิทยา กล่าวคือ ผู้คนจะตื่นตัวมากขึ้นเมื่อเดินผ่านห้องบางประเภท

นี่เป็นทริคที่สถาปนิกใช้มานานแล้วไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ตั้งแต่ความสมมาตรที่ชวนสับสนในห้องกระจกของพระราชวังแวร์ซาย ไปจนถึงความว่างเปล่าที่สะท้อนเสียงก้องของอาคารสไตล์บรูทัลลิสต์ และการทำซ้ำในพื้นที่ก็เพิ่มความรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน

“โดยพื้นฐานแล้ว สภาพแวดล้อมให้ความรู้สึกคาดเดาได้ยากเกินกว่าที่จะเป็นจริง สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์หลอน แต่แทนที่จะมันจะหลอนกับมนุษย์กลับเป็นพื้นที่แทน” ทอคอธิบาย พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกน่าขนลุกของบางสิ่งที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นเคยเสียทีเดียว

สภาวะทางประสาทสัมผัสสามารถทำให้ความสับสนนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น “แสงที่สม่ำเสมอ สามารถตัดความลึกและความชัดของเขา ซึ่งทำให้สัญญาณเชิงพื้นที่ดูจืดจางลง” ทอคอธิบาย “ความนิ่งทางเวลา ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของเสียง ส่งสัญญาณถึงความผิดปกติของสภาพแวดล้อม” 

ความผิดพลาดในการคาดเดาของการรับรู้

จิโอโคโมกล่าวว่า ระบบการทำแผนที่เชิงพื้นที่ของสมองขึ้นอยู่กับความมั่นคง “เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่แน่นอน ท้าทายการทำนายของเรา เช่น ทางตันกะทันหันที่คาดไม่ถึง หรือขัดแย้งกัน เช่น เมื่อกำแพงเคลื่อนที่เร็วหรือช้ากว่าที่ร่างกายของเราบอกว่าควรจะเป็น สิ่งนี้อาจสร้างความรู้สึกไม่สบายใจ ความไม่แน่นอน และสูญเสียความมั่นใจ” เธอ เสริม

‘พื้นที่หลอน’ ใช้ประโยชน์จากระบบการทำนายนี้ด้วยทางเดินที่วนกลับมายังจุดที่เคยมา ทางตันแบบสุ่ม หรือทางแยกที่สมมาตรอย่างสมบูรณ์แบบ บันไดขนาดใหญ่ที่มีความเสียหายในความมืด ก็ยิ่งทำให้ความสับสนทวีความรุนแรงขึ้น กระตุ้นระบบนำทาง ความจำ และการตรวจจับภัยคุกคามของสมองไปพร้อม ๆ กัน

“ในทางจิตวิทยาแล้ว บันไดมืดเป็นตัวแทนของลงสู่จิตใต้สำนึก ที่ซึ่งความกลัวถูกกดทับอยู่” ทอค กล่าว “แม้ว่ามันจะไม่มีภัยคุกคามที่ชัดเจน แต่ภาพนั้นก็ยังคงมีความทรงจำทางวัฒนธรรมของความระทึกขวัญ” 

ความมืดทำให้ลานสายตาแบนราบลง บังคับให้ดวงตาและร่างกายส่งสัญญาณที่ขัดแย้งกันไปยังระบบเวสติบูลาร์ (vestibular) ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมการทรงตัว 

“เมื่อแสงน้อยหรือเงาบดบังขั้นตอนต่าง ๆ คอร์เท็กซ์การมองเห็นก็จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความลึก ความคมชัด และขอบเขตของภาพไม่ครบถ้วน” ทอด อธิบาย “ความไม่ตรงกันระหว่างข้อมูลป้อนกลับที่คาดหวังกับข้อมูลจริงนี้ เช่นว่าขั้นบันไดต่อไปอยู่ที่ไหน ก่อให้เกิด ‘ความผิดพลาดในการทำนาย’ ซึ่งเพิ่มความสนใจและการกระตุ้นทางสรีรวิทยา” 

สัญชาตญาณโบราณ

ระบบการเอาชีวิตรอดดั้งเดิมที่สุดของเราวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อตรวจจับอันตราย และแสวงหาความปลอดภัย และพื้นที่ผีสิงก็ใช้ประโยชน์จากทั้งสองสิ่งนี้ ห้องขนาดใหญ่ที่ผิดปกติเช่น ห้องโถงใหญ่ขนาด 40 ฟุตหรือห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากสมองพยายามประเมินขนาดและระบภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น การเพิ่มเสียงสะท้อนเข้าไปจะทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้น

“เสียงสะท้อนหมายความว่าเสียงมาจากหลายทิศทางโดยมีความล่าช้าเล็กน้อย ทำให้ยากต่อการระบแหล่งที่มา รวมถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น” ซินา เอสเตกี (Sina Esteky) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการตลาด มหาวิทยาลัยไมอามี และนักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมและนักวิจัยด้านการออกแบบ กล่าว

“ยิ่งไปกว่านั้น คุณสมบัติทางเสียงของพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถทำให้เสียงที่คุ้นเคยดูเหมือนแปลกหรือผิดเพี้ยนได้” เนื่องจากระบบประสาทสัมผัสทำงานเกินกำลัง เราจึงยังคงอยู่ในภาวะตื่นตัวเล็กน้อย

พื้นที่จำกัดก็ก่อให้เกิดความเครียดแบบอื่นเช่นกัน “ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ระบบเหล่านี้จะตรวจจับตัวเลือกการนำทางที่ลดลงและเส้นทางหลบหนีที่จำกัด ซึ่งสามารถกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียดได้ แม้ว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นจริงก็ตาม” เอสเตกี อธิบาย “จากมุมมองเชิงวิวัฒนาการ การติดกับดักในอดีตหมายถึงความเสี่ยงต่อผู้ล่า อันตรายจากสิ่งแวดล้อม หรือการเผชิญหน้าที่ไม่เป็นมิตร” 

สัญชาตญาณนี้เชื่อมโยงกับทฤษฎีการหลบภัย-การคาดการณ์ ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ชอบพื้นที่ที่ให้ทั้งมุมมองที่กว้าง และจุดที่ปลอดภัยกับพื้นที่กำบัง (ที่หลบภัย) บันไดเป็นตัวอย่างของปฏิกิริยาตอบสนองโบราณเหล่านี้ 

“บันได้สามารถมองได้ว่าเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงภูมิประเทศโบราณที่มีความเสี่ยง” ทอค กล่าว “หน้าผาสูงชันหมายถึงขอบเขต เนินเขา และแม้แต่กับดักที่ตกลงไปได้ ความโค้งและรูปตัวแอลบดบังการมองเห็นผู้ล่าของเรา ไม่มีราวกั้นใด ๆ บ่งบอกถึงการขาดพืชพรรณหรือขอบหินที่เอื้อมถึงได้” 

การลงบันไดทำให้พลวัตชัดเจนยิ่งขึ้น ที่ด้านบนสุดเรามีความรู้สึกควบคุมได้ ครึ่งทางลงจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่รู้จักทั้งด้านล้างและด้านหลังจะลบล้างความรู้สึกปลอดภัยนั้นไป ส่วนด้านล่างทำให้เกิดความโล่งใจได้ถ้าสมองยืนยันความมั่นคงและเส้นทางหลบหลีกอีกครั้ง ทอค กล่าว

หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับห้องที่ไม่มีหน้าต่าง หากปราศจากทัศนียภาพภายนอก เราก็จะสูญเสียสัญญาณทางพื้นที่และเวลา ซึ่งรวมถึงแสงธรรมชาติ สภาพอากาศ และทางเลือกในการหลบหนี

“ห้องที่ไม่มีหน้าต่างจะขจัดโอกาสนี้ออกไป ทำให้เกิดความรู้สึกถูกตัดขาดจากโลกภัยนอก และไม่สามารถประเมินสภาพหรือภัยคุกคามภายนอกได้” เอสเตกี กล่าว การแยกขาดจากโลกภายนอกนี้ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด กลัวที่แคบเล็กน้อย หรือความวิตกกังวลรุนแรงขึ้น

เมื่อตระหนักว่าพื้นที่ที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์อย่างลึกซึ้ง สถาปนิกและนักประสาทวิทยาจึงมักออกแบบอาคารที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์อย่างจงใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่ผ่อนคลาย ศูนย์กลางการขนส่งที่ผ่อนคลาย หรือแม้แต่สถานที่ทำงานที่ออกแบบมาเพื่อลดภาระทางประสาทสัมผัส หลักการเดียวกันที่สามารถทำให้ทางเดินดูน่ากลัวได้ ก็สามารถทำให้ห้องรู้สึกปลอดภัยได้เช่นกัน

สืบค้นและเรียบเรียงข้อมูล 

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.sciencedirect.com

https://arxiv.org

https://www.nationalgeographic.com


อ่านเพิ่มเติม : เปิดตำราวิทยาศาสตร์

เผยกลไกลับในสมอง ที่ทำให้เราเชื่อเรื่องผี

Recommend