เรื่องเล่าจากยอดเขายะเยือก
ผมถ่ายภาพนี้ราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากขุดตัวเองออกจากหิมะถล่มซึ่งเกือบคร่าชีวิตผมและเพื่อนอีกสองคน ขณะที่เรากำลังลงจากยอดเขาสูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก วันนั้นคือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 2011 และเราเพิ่งเสร็จสิ้นการปีนยอดเขาแกเชอร์บรูม 2 ในปากีสถาน นับแต่นั้นมาภาพถ่ายภาพนี้ก็ได้ขึ้นปกนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ปรากฏบนโปสเตอร์และบิลบอร์ด และแพร่กระจายบนอินเทอร์เน็ต ในแง่หนึ่ง ภาพนี้กลายเป็น “เครื่องหมายการค้า” ของผม และนำไปสู่งานที่ได้รับมอบหมายอีกหลายชิ้น แต่ตลอดหลายปีมานี้ เรื่องราวที่ภาพนั้นสื่อออกไป นั่นคือวีรบุรุษนักปีนเขาผู้เพิ่งโกงความตาย กลับรบกวนจิตใจผมอย่างลึกซึ้ง
ผมมักพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะคิดถึงการปีนเขาในฐานะวีรบุรุษ ถึงแม้ผมจะเข้าใจว่า บางคนมองแบบนั้นได้อย่างไร เมื่อไปยืนตรงเชิงยอดเขาสักยอดของเทือกเขาหิมาลัย คุณจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า การขึ้นไปบนยอดนั้นต้องอาศัยความแข็งแรง ความทรหด สมาธิ และความกล้าหาญมากเป็นพิเศษ แต่ผมคิดเสมอว่า คำว่าวีรกรรมนั้นต้องมีจุดประสงค์บางอย่างที่สูงส่งกว่าแค่การเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อดูว่า คุณสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้ไหม
การปีน ยอดเขาแกเชอร์บรูม 2 ไม่ใช่ความคิดของผมผมได้รับการเชิญชวนจากนักปีนเขาผู้ครํ่าหวอดสองคนคือ ซีโมน โมโร และเดนิส อูรุบโก ให้เข้าร่วมการเดินทางสำรวจของพวกเขา ผมเป็นนักปีนเขาหน้าใหม่ที่สั่งสมประสบการณ์จากยอดเขาในอเมริกาเหนือและเทือกเขาแอลป์ ขณะที่ซีโมนและเดนิสเป็นบุคคลสำคัญในโลกของการปีนเขา ผมบอกไม่ถูกว่าตื่นเต้นแค่ไหน ตอนที่พวกเขาชวนผมเข้าร่วมความพยายามปีนยอดเขาแกเชอร์บรูม 2 ในฤดูหนาวเป็นครั้งแรก นักปีนเขาเลือกคู่หูในการปีนด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด นี่เป็นการตัดสินใจที่อาจกำหนดว่า คุณจะรอดชีวิตจากการเดินทางหรือไม่
การที่นักปีนเขาผู้เป็นตำนานทั้งสองคนชวนผมเข้าร่วมการเดินทางของพวกเขาเปรียบเหมือนการได้บวชเป็นพระ นี่อาจฟังดูพิลึก แต่สำหรับนักปีนเขาหลายคนการปีนเขาเป็นศาสนาอย่างหนึ่ง ผมรู้ว่ามันช่วยชีวิตผมด้วยการให้เส้นทางออกจากช่วงวัยรุ่นอันยากลำบาก ผมลาออกจากโรงเรียนมัธยมปลาย เริ่มดื่มเหล้าและใช้ยาเสพติด และอาศัยอยู่ข้างถนนระยะหนึ่ง การปีนเขามอบคุณค่าความหมายให้ชีวิตผม ทำให้ร่างกายและจิตใจผมมุ่งมั่นแน่วแน่ และทำให้ผมมีสุขภาพดี
ยิ่งผมปีนเขามากเท่าไร ผมก็ยิ่งดูเหมือนออกไปไกลจากความไม่มั่นคงและความโกรธแค้นที่กำหนดชีวิตส่วนใหญ่ของผมมากขึ้นเท่านั้น หลังปีนเขา ไม่ว่าจะอันตรายหรือไม่เพียงใด ผมมักยืนมองลงไปยังโลกเบื้องล่างและค้นพบว่า ในที่สุด ผมสามารถหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกพึงพอใจ และหายใจออกอย่างผ่อนคลาย แต่หลังจากนั้นผมจะปีนกลับลงไปยังโลกเบื้องล่าง แล้วความสับสนภายในจิตใจของผมก็จะหวนกลับมา เมื่อซีโมนและเดนิสชวนผมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการปีนเขาที่อาจกลายเป็นประวัติศาสตร์ ผมรู้สึกว่าถ้าผมพิชิตยอดเขานั้นได้ ผมจะ “ได้รับการเยียวยา” อย่างถาวร
เราพิชิตยอดเขานั้น หลังรวบรวมพลังฮึดสู้ในช่วงสั้น ๆที่อากาศปลอดโปร่ง แต่การไปถึงยอดเขาเป็นเพียงครึ่งทางเท่านั้น อันตรายถึงแก่ชีวิตมักเกิดขึ้นระหว่างทางลง เมื่อนักปีนเขาต้องหาหนทางผ่าน “ทุ่งกับระเบิด” ของเหวนํ้าแข็ง และกองหิมะหนักหลายตันที่อาจปล่อยหิมะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
เราสามคนซึ่งผูกเชือกยึดโยงไว้ด้วยกันกำลังเร่งรีบ โดยหวังว่าจะลงจากเขาก่อนพายุมาถึง ตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาท ผมจำได้ว่าพยายามวาดแขนและเตะขาอย่างไร้ประโยชน์ แต่ในไม่ช้าผมก็รู้สึกเหมือนถูกหมุนอยู่ในเครื่องซักผ้า ปากและจมูกของผมอัดแน่นไปด้วยหิมะ และหิมะก็เข้าไปอยู่ในชุดกันหนาวขนเป็ดของผม เสียงกึกก้องถูกแทนที่ด้วยความเงียบอันลึกลํ้า และความเย็นเยือกก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปสู่ร่างกายของผม
เป็นเรื่องยากที่จะบรรยายความพรั่นพรึงของประสบการณ์นั้น แต่เราทุกคนก็รอดชีวิตมาได้ประสบการณ์บนยอดเขาแกเชอร์บรูม 2 ไม่ได้เยียวยาผมเลยสักนิด แต่กลับทำลายผม เมื่อเวลาผ่านไปคลื่นความตื่นตระหนกจะเข้าครอบงำผมทันทีทันใด เหมือนหิมะถล่มขนาดย่อม ๆ ผมเหงื่อแตกพลั่ก จู่ ๆ ผมก็รู้สึกกระวนกระวายหรือเดือดดาล เพื่อหลีกหนีจากสิ่งนี้ ผมดื่มหนักและนอกใจภรรยา ผมลงเอยด้วยการขุดหลุมฝังตัวเองและกระเสือกกระสนครั้งแล้วครั้งเล่า ผมหย่ากับภรรยา สูญเสียผู้สนับสนุนหลักด้านอาชีพ ทำตัวเหลวแหลก ทำร้ายคนที่ผมใส่ใจ ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับความประพฤติและการตัดสินใจอันเลวร้ายแต่บางครั้งความวุ่นวายที่ตามมาก็ให้ความชัดเจนบางอย่าง
ในที่สุด นักบำบัดอธิบายว่า ผมทนทุกข์ทรมานจากอาการเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และด้วยความรักกับแรงใจจากผู้คนมากมาย ผมสามารถขุดตัวเองขึ้นมาได้ทีละน้อย ผมเลิกดื่มเหล้าและเริ่มกลับมาปีนเขาอีกครั้ง รวมทั้งกลับไปยังเทือกเขาหิมาลัย ผมเริ่มยอมรับว่า ความคิดที่ว่าการพิชิตยอดเขาสามารถเยียวยาผมได้นั้น เป็นภาพลวงตามากพอ ๆ กับความคิดที่ว่า ภาพถ่ายตัวผมหลังจากหิมะถล่มคือภาพของวีรบุรุษ
กระนั้น ผมไม่อาจหนีจากภาพนั้นได้ มันดูราวกับจะติดตามผมไปทุกที่ และคอยยํ้าเตือนผมว่า จริง ๆ แล้วผมเปราะบางเพียงใด เราทุกคนเปราะบางเพียงใด
เรื่อง คอรี ริชาร์ดส์
อ่านเพิ่มเติม