ตามล่าผีเสื้อของพ่อ

ตามล่าผีเสื้อของพ่อ

ภารกิจทรหดของลูกสาวที่ออกตามหาผีเสื้อชนิดพบยากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกซึ่งตั้งชื่อตามพ่อผู้ล่วงลับของเธอ

พ่อของฉัน รุสตัม เอฟเฟนดี เป็นนักกีฏวิทยาผู้ศึกษาเกี่ยวกับผีเสื้อโดยเฉพาะ (lepidopterist) ชาวอาเซอร์ไบจานสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต [หรือสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอาเซอร์ไบจาน] เขาเป็นผู้รอบรู้เหนือใครอื่นในด้านผีเสื้อและมอทของภูมิภาคคอเคซัส ที่บ้านวัยเด็กของฉันในกรุงบากู อาเซอร์ไบจาน พ่อเป็นแขกที่นานๆ จึงจะโผล่มาสักครั้ง พ่อใช้เวลาส่วนใหญ่ในฤดูหนาวจำศีลในอะพาร์ตเมนต์ห้องเดี่ยวของเขาในอีกย่านหนึ่งของเมือง เฝ้ารอฤดูผีเสื้อเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ทันทีที่หิมะละลายในที่ราบตอนล่าง พ่อจะ เดินทางเข้าสู่เทือกเขาเพื่อศึกษา เสาะหา และเก็บตัวอย่าง ก่อนจะกลับมาพร้อมปลอกตัวอ่อนในขวดโหล หนอนผีเสื้อกระดุกกระดิกในกล่องไม้ขีด และผีเสื้อพับปีกใส่ซองไว้

พ่ออุทิศทั้งชีวิตให้กับงาน และจากไปในวัยกลาง 50 ตอนฉันอายุครบ 14 ปี ฉันแทบไม่รู้จักพ่อ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมาในฐานะผู้สื่อข่าวและช่างภาพ ฉันหมกมุ่นกับการประกอบสร้างเรื่องราวชีวิตของพ่อขึ้นมาใหม่

หลายปีก่อน ฉันบังเอิญเจอประวัติของพ่อในวิกิพีเดีย และกดลิงก์ที่พาฉันไปยังภาพผีเสื้อสีพื้นๆ ตัวหนึ่งคำบรรยายใต้ภาพระบุว่า “Satyrus effendi ชนิดพันธุ์ในวงศ์ผีเสื้อขาหน้าพู่” ฉันได้เรียนรู้ว่า ยูรี เนครูเทนโก นักกีฏวิทยาผีเสื้อจากยูเครน ค้นพบผีเสื้อชนิดใหม่ในเทือกเขาคอเคซัสเมื่อปี 1989 และตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่รุสตัม ผู้เป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงาน ฉันค้นพบในเวลาต่อมาว่า ยูรีพูดติดตลกกับพ่อในตอนนั้นว่า ในเมื่อคุณมีแต่ลูกสาว นามสกุลของคุณจะยังอยู่ต่อไปกับผีเสื้อตัวนี้ ภาวนาอย่าให้มันสูญพันธุ์ก็แล้วกัน

แต่ผีเสื้อที่ตั้งชื่อตามพ่ออาจเป็นผีเสื้อที่พบได้ยากที่สุดชนิดหนึ่งในโลก จากกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคมจะมีผีเสื้อเพียงรุ่นเดียวที่ฟักออกมาโบยบินในถิ่นอาศัยของมันในพื้นที่ภูเขาเหนือระดับทะเล 3,000 เมตร เพื่อให้สามารถต้านทานสภาพแวดล้อมทารุณ ซาตีรุส เอฟเฟนดี มีเกล็ดคล้ายขนบนปีก และมีสีน้ำตาลเข้มที่อาจช่วยให้มันอบอุ่น ลักษณะทางกายภาพโดดเด่นที่สุดของมันคือลายแต้มสีดำสองดวง ที่ดูเหมือนดวงตามีรูม่านตาสีขาว แต่ละดวงจ้องเขม็งจากมุมปีกสองข้าง เป็นเวลาสองสัปดาห์ แมลงชนิดนี้จะโผบินอยู่เหนือสันเขาซังกะซูร์ ที่ทอดยาวราว 160 กิโลเมตรพาดผ่านพรมแดนระหว่างอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย สองประเทศที่ตกอยู่ในกรงเล็บความขัดแย้งยืดเยื้อหลายทศวรรษ

ซาตีรุส เอฟเฟนดี (Satyrus effendi) ผีเสื้อชนิดพบเจอยากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก ซึ่งได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติ แก่รุสตัม เอฟเฟนดี นักกีฏวิทยาผีเสื้อผู้เป็นตำนาน
พ่อของฉัน รุสตัม เอฟเฟนดี ซึ่งอยู่ในภาพถ่ายที่ทะเลสาบมารัลเกิลทางตะวันตกของอาเซอร์ไบจานภาพนี้ เป็นนักกีฏวิทยาผีเสื้อผู้เป็นที่นับหน้าถือตาในโซเวียต พ่อออกจับผีเสื้อกับมอทในพื้นที่ชายแดนระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน อันเป็นถิ่นอาศัยของผีเสื้อชนิดที่ต่อมาได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาว่า ซาตีรุส เอฟเฟนดี
ภาพถ่ายพ่อกับฉันเพียงภาพเดียวที่ฉันมีอยู่ภาพนี้ เป็นภาพโพลารอยด์ถ่ายที่ระเบียงบ้านของเราในกรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจานเมื่อปี 1987 ตอนฉันอายุ 10 ขวบ สี่ปีต่อมา พ่อก็จากไปด้วยโรคมะเร็งในวัย 56 ปี
รุสตัมอุทิศชีวิตให้การศึกษาและอนุรักษ์ผีเสื้อกับมอทในภูมิภาคคอเคซัสตอนใต้ ณ จุดหนึ่งในอาชีพ กรุสะสมของเขา น่าจะมีตัวอย่างอยู่มากถึง 100,000 ตัวอย่าง

ในฐานะนักกีฏวิทยาผีเสื้อหนึ่งในไม่กี่คนของอาเซอร์ไบจานยุคโซเวียต พ่อจับและรวบรวมตัวอย่างผีเสื้อไว้มากมายหลายชนิดโดยได้รับการเก็บรักษาไว้ที่สถาบันสัตววิทยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติอาเซอร์ไบจานในกรุงบากู ซึ่งพ่อทำงานอยู่นานกว่าสามทศวรรษ เวลาล่วงเลยมาแล้วหลายปีนับจากนั้น และผีเสื้อส่วนใหญ่ในกรุสะสมของพ่อก็เป็นผุยผงไปแล้ว ฉันไล่ค้นหาข้อความกล่าวถึง ซาตีรุส เอฟเฟนดี ในบทความวิทยาศาสตร์ที่พ่อเขียน ในบันทึกภาคสนามของเขา รวมทั้งในหมู่ตัวอย่างที่ยังหลงเหลืออยู่ในกรุสะสมของพ่อ แต่ไม่พบร่องรอยใดๆ ฉันจึงสรุปว่า มันเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์เฉพาะถิ่นเพียงชนิดเดียวที่พ่อไม่เคยจับมา ฉันนึกสงสัยว่า ตัวเองจะจับมันได้ไหม

เพื่อค้นหาผีเสื้อที่ว่า ฉันวางแผนเส้นทางตามรอยเท้าของพ่อ โดยดูจากแผนที่ที่พ่อทำไว้ของสถานที่ต่างๆ ที่พ่อเคยเดินทางไป หรือพื้นที่วิจัยซึ่งตอนนี้ถูกจำกัดการเข้าถึงจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน แม้จะโด่งดังเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านผีเสื้อและมอทระดับแถวหน้าคนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่พ่อไม่เคยได้รับวุฒิปริญญาเอก เพราะยืนกรานไม่ยอมเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ การตัดสินใจเช่นนั้นทำให้ทางเลือกในอาชีพของพ่อแคบลง เจ้าหน้าที่รัฐสั่งห้ามไม่ให้เขาเดินทางออกนอกสหภาพโซเวียต

พ่อจึงเดินทางขวักไขว่ไปทั่วภูมิภาคบ้านเกิดในเทือกเขาคอเคซัสแทน โดยแต้มจุดสีดำไว้ในแผนที่เพื่อแสดงตำแหน่งที่พ่อไปจับผีเสื้อ จุดสีดำกลุ่มหนึ่งเรียงตัวอยู่ในแนวเทือกเขาฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ที่ทอดไปทางอาร์เมเนีย โลกที่พ่อท่องไปทั่วในสมัยนั้นเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนพ่อจากไปเมื่อปี 1991 สหภาพโซเวียตกำลัง จะล่มสลาย และสงครามก็ตั้งเค้าในภูมิภาคคอเคซัส ทุกวันนี้ ที่ราบน้อยใหญ่และช่องเขาที่พ่อเคยไปจับผีเสื้ออย่างสงบสุขเมื่อกว่า 40 ปีก่อน น่าจะแทบไม่มีอะไรเหลือให้พ่อจดจำได้ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ทั้งจากกาลเวลา และความขัดแย้ง ยิ่งทำให้การเดินทางของฉันมีอุปสรรคมากขึ้น

ทางเลือกที่ดีที่สุด ฉันควรจะเดินทางทางบกจากอาเซอร์ไบจานไปยังอาร์เมเนียเหมือนที่พ่อทำ แต่ปัจจุบันสองประเทศนี้เป็นคู่อริกัน ชายแดนถูกปิดกั้นและวางกำลังทหารไว้ ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา พวกเขาสู้รบเพื่อแย่งชิงการควบคุมนากอร์โน-คาราบัค ภูมิภาคปกครองตนเองในแถบเทือกเขาของอาเซอร์ไบจาน และเป็นบ้านของชาวชาติพันธุ์อาร์เมเนียซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ สงครามและการยึดครองยืดเยื้อนาน 30 ปีนับจากนั้นทำให้เมืองและหมู่บ้านที่พ่อเคยไปเยือนเป็นประจำเหลือแต่ซากปรัก ท้องทุ่งจำนวนมากที่พ่อเคยไปจับผีเสื้อถูกขุดเป็นสนามเพลาะ และเกลื่อนไปด้วยกับระเบิด

เพื่อประกอบการเดินทางของพ่อขึ้นมาใหม่ ฉันยื่นคำร้องต่อหน่วยงานรัฐระดับสูงของทั้งสองประเทศหลังเจรจาต่อรองกันอยู่หลายเดือน อาเซอร์ไบจานก็อนุญาตให้ฉันเข้าไปใกล้ชายแดนอาร์เมเนียได้จากเขตแดนภายในประเทศพร้อมทหารคุ้มกัน ในการเดินทางทริปนี้ ฉันได้เห็นถนนบนภูเขาเส้นเดียวกับที่พ่อเคยเดินทางด้วยรถบัสหรือไม่ก็โบกรถคนแปลกหน้า แต่ฉันไม่เคยได้รับอนุญาตให้ข้ามเข้าไปในอาร์เมเนีย

ความลุ่มหลงของพ่อเริ่มต้นขึ้นตอนอายุ 12 ขวบ เมื่อมอทเหยี่ยวยี่โถ (มอทเหยี่ยวลายพราง) ตัวหนึ่งมาเยือนบ้านพ่อทุกเย็นเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ต่อมา เมื่อต้นยี่โถบริเวณนั้นถูกตัดออกไป หนอนมอทชนิดนี้ก็สูญเสียแหล่งอาหาร พ่อฝังใจกับการหายไปของพวกมัน
เพื่อเสาะหาและจับผีเสื้อ พ่อเดินทางข้ามดินแดนซึ่งนับแต่นั้นมาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากความขัดแย้ง พ่อจะเดินทางจากอาเซอร์ไบจานเข้าสู่อาร์เมเนียโดยรถไฟสายซังกะซูร์ที่แล่นข้ามสะพานฮูดาฟารินในภาพ ปัจจุบัน ทางรถไฟสายนี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว และสองประเทศสู้รบกันมาโดยตลอดเพื่อช่วงชิงการควบคุมเขตจะบราอิล
เครื่องมือสตัฟฟ์ของปาร์เคฟ คาซาเรียน นักสตัฟฟ์สัตว์ชาวอาร์เมเนีย ผู้เป็นเพื่อนและศิษย์เอกของพ่อ ป็นหนึ่งในไม่กี่เคนที่เคยจับผีเสื้อ ซาตีรุส เอฟเฟนดี พ่อของฉันใช้เครื่องมือคล้ายคลึงกันนี้ และถ่ายทอดความรู้ให้แก่ปาร์เคฟ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง 20 ปี
ชิ้นส่วนและกล่องบรรจุผีเสื้อของนักสตัฟฟ์ผู้นี้ เก็บอยู่ในห้องเฉพาะของพวกมัน กล่องใบหนึ่งในจำนวนนี้มีผีเสื้อ ซาตีรุส เอฟเฟนดี สองตัวทอดกายอยู่
ฉันค้นกรุสะสมผีเสื้อของพ่อที่สถาบันสัตววิทยาของอาเซอร์ไบจาน เพื่อหาตัวอย่างของ ซาตีรุส เอฟเฟนดี แต่ดูเหมือนว่าพ่อไม่เคยจับมันมา แต่ฉันกลับพบมอท บราห์แมอา คริสโตฟี (สีน้ำตาลเข้ม กลางภาพ) ซึ่งพ่อใช้เวลาตามจับอยู่ถึงห้าปี

ฤดูใบไม้ผลิ ปี 2022 ในที่สุดฉันก็ได้รับอนุญาตให้บินไปอาร์เมเนียได้ จากเมืองอิสตันบูลไปลงที่กรุงเยเรวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในเที่ยวบินตรงเที่ยวแรกๆ ในรอบสองปี ก่อนเดินทางเที่ยวนี้ ฉันนึกสงสัยว่าจะมีใครทางฟากโน้นของพรมแดนที่ยังจำพ่อได้บ้าง เพื่อนร่วมงามเก่าของพ่อแนะนำฉันให้รู้จักกับปาร์เคฟ คาซาเรียน นักสตัฟฟ์สัตว์และ นักสะสมแมลงชาวชาติพันธุ์อาร์เมเนีย ปาร์เคฟซึ่งเป็นชาวเมืองบากูโดยกำเนิด ปัจจุบันอายุ 69 ปี อาศัยอยู่ทางเหนือของอาร์เมเนีย ในหมู่บ้านห่างไกลของบรรพบุรุษเขาที่ฉันได้ไปเยี่ยมเยือน

เราเป็นคนคอเดียวกันครับ” เขาพูดถึงพ่อฉัน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ปาร์เคฟ 20 ปี “เขาเป็นครูผม เป็นกุนซือของผม” ปาร์เคฟหนีจากอาเซอร์ไบจานท่ามกลางเหตุตึงเครียดทางชาติพันธุ์เมื่อปี 1989 โดยนำทรัพย์สินล้ำค่าที่สุดติดตัวไปด้วย นั่นคือผีเสื้อสตัฟฟ์จำนวน 11 กล่อง ภายในบ้านที่มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น เวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ตู้เย็นยูเครนยุคโซเวียตใบเก่าเทอะทะเป็นที่เก็บด้วงกว่างที่เขาสะสมไว้ ในห้องหนึ่ง ใต้เตียงนอน ฉันสังเกตเห็นเป้ผ้าใบสีเขียวเหมือนกับของพ่อ ภาพนั้นทำให้ความทรงจำผุดขึ้นมา ตอนที่พ่อจัดกระเป๋าเตรียมไปจับผีเสื้อ บรรจุทั้งชีวิตเขาลงในเป้แบบเดียวกันนี้ ราวกับหมวกไร้ก้นของนักมายากล ในนั้นมีตั้งแต่ขวดโหล ตะเกียงขวดแก้ว กล่องไม้ขีด ชุดเครื่องมือตรึงปีก แถบกระดาษชุบไซยาไนด์ (ยาพิษสำหรับผีเสื้อ) และอื่นๆ อีกสารพัด

ในฝั่งอาร์เมเนียของพรมแดน ฉันติดตามปาร์เคฟเข้าไปในเทือกเขาวายอตส์ซอร์ ซึ่งเขาเคยจับผีเสื้อชนิดนี้ ได้เมื่อปี 1991

จากกล่องฝุ่นจับตั้งหนึ่ง ปาร์เคฟดึงกล่องสีชมพูใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยผีเสื้อตรึงด้วยเข็มหมุดออกมา สองตัว ในนั้นสะดุดตาฉัน ซาตีรุส เอฟเฟนดี นั่นเอง ตัวเพศผู้ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ ตัวใหญ่ สีน้ำตาลเข้ม พร้อมปีกคล้ายขนปกปุยนุ่มนวล ปาร์เคฟบอกฉันว่า เขาจับตัวอย่างนี้ได้จากทางฝั่งอาร์เมเนียของพรมแดน ในเทือกเขาวายอตส์ซอร์ ในฤดูร้อน ปี 1991 เพียงไม่กี่เดือนหลังพ่อเสียชีวิต “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับที่ผมจับมันได้ตอนนั้น” เขาบอก “รุสตัม มาแสดงตัวให้เรารู้”

นอกจากปาร์เคฟแล้ว เท่าที่รู้ยังมีคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันอีกเพียงสองคนที่เคยพบเจอ ซาตีรุส  เอฟเฟนดี ในธรรมชาติ หนึ่งในนั้นคือนักกีฏวิทยาชาวรัสเซียชื่อ ดมีตรี มอร์กูน ซึ่งเคยสังเกตเห็นผีเสื้อฝูงเล็กๆ ฝูงหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ในปี 2016 กำลังโบยบินเหนือสันเขาซังกะซูร์ในสาธารณรัฐปกครองตนเองนาคีชีวัน ดินแดนส่วนแยกของอาเซอร์ไบจานติดกับชายแดนอาร์เมเนีย ฉันพึ่งพาความช่วยเหลือและความเชี่ยวชาญของดมีตรีอยู่สามปี

“มันเป็นผีเสื้อในตำนานโดยแท้ครับ” ดมีตรีกล่าว เขาบอกฉันว่า งานของพ่อมีอิทธิพลต่อเส้นทางอาชีพช่วงแรกของเขา “เพราะถิ่นอาศัยอยู่ห่างไกลมากและเข้าไม่ถึง นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เลยไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง” ซาตีรุส เอฟเฟนดี ดูเหมือนสูญพันธุ์ไปแล้วในถิ่นอาศัยเท่าที่รู้ในช่วงแรกไม่กี่แห่ง ซึ่งรวมถึงแหล่งที่มันถูกค้นพบ  ครั้งแรกโดยยูรี เนครูเทนโก และสถานะประชากรที่ถูกคุกคามอยู่แล้วก็เปราะบางยิ่งขึ้น เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นทั่วโลกบังคับให้นักต้อนสัตว์ต้องพาฝูงสัตว์ของตนไปกินหญ้าบนพื้นที่สูงกว่าเดิม และสัตว์เหล่านั้นและเล็มกินธัญพืชชนิดเดียวกันกับผีเสื้อพวกนี้

หลังจากขึ้นไปหาผิดที่บนสันเขาดังกล่าวในความพยายามครั้งแรก ฉันบินกลับไปยังนาคีชีวันอีกครั้งในฤดูร้อน ดมีตรีมาสมทบกับฉันเพื่อระบุตำแหน่งบนสันเขาซังกะซูร์ ตรงกับจุดที่เขาเจอผีเสื้อนี้เมื่อหลายปีก่อน การไต่ขึ้นเขาเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงตามทางลาดชัน ซึ่งบางส่วนเป็นลานหินพังสลับกับเส้นทางแพะแคบๆ ยากลำบากกว่าครั้งก่อน พอขึ้นไปได้ราวครึ่งทาง หัวใจฉันเต้นแรงรัวและมึนงงจากอาการแพ้ความสูง พอไปถึงยอดเขาในท้ายที่สุดก็ไม่มีผีเสื้อให้เห็นสักตัว พอฉันฟื้นตัวดีแล้วในวันรุ่งขึ้น ดมีตรีคาดเดาว่าฤดูกาลที่เปลี่ยนไปทำให้ยากที่จะทำนายช่วงเวลาฟักออกมาของพวกมัน

นักต้อนสัตว์ท้องถิ่นชื่อ วูการ์ ระซาเยฟ นำฉันไปยังถิ่นอาศัยบนภูเขาของผีเสื้อดังกล่าวที่ความสูง 3,000 เมตร เหนือระดับทะเล ในภาพนี้ วูการ์กับม้าของเขาสำรวจพื้นที่ชายแดนบนเขาสูงที่ ซาตีรุส เอฟเฟนดี โบยบินอยู่ไม่ กี่สัปดาห์ทุกเดือนสิงหาคม
ฉันเดินตามรอยเท้าพ่อที่ทะเลสาบมารัลเกิล ซึ่งเขาถูกบันทึกภาพไว้ตอนช่วงต้นทศวรรษ 1970

เป็นฤดูร้อนที่สามติดต่อกันแล้ว ตอนฉันกลับไปเดินขึ้นเขาลูกนั้นในปี 2023 ดมีตรีไปเป็นเพื่อนฉันอีกครั้ง แต่คราวนี้ เราเลือกนำม้าบรรทุกสัมภาระไปด้วย และตั้งค่ายพักแรมสำหรับสี่คืน อุณหภูมิลดฮวบฮาบหลังพระอาทิตย์ตกดิน เต็นท์ของฉันสะบัดกระพือในสายลมที่พัดไม่หยุดหย่อน ทุกวันตอนรุ่งสาง เราขึ้นไปที่สันเขาเพื่อมองหาผีเสื้อ และทุกวันเรากลับลงมาโดยไม่ได้เห็นอะไร

หลังจากเป็นอย่างนี้อยู่ห้าวัน ฉันก็หมดเรี่ยวแรง ฉันแทบไม่ได้นอน และเริ่มทำใจยอมรับได้กับความคิดที่ว่า ฉันจะไม่มีวันได้เห็น ซาตีรุส เอฟเฟนดี กำลังโบยบินอยู่ แต่ฉันก็ตระหนักด้วยว่า การแสวงหาของฉันได้บรรลุผลเป็นอีกสิ่งหนึ่ง กล่าวคือมันนำพาฉันให้เข้าใกล้พ่อมากขึ้น ฉันเดินในทุ่งหญ้าและยอดเขาอันเป็นที่รักของพ่อ ที่ซึ่งฉันรู้ว่า จิตวิญญาณของพ่อรอนแรมไปทั่วอย่างเสรี ฉันพบปะผู้คนซึ่งใบหน้าสว่างสดใสขึ้นมาขณะรำลึกถึงเขา ฉันได้รู้จักกับเพื่อนเก่าๆ ของพ่อที่เปิดหน้าต่างบานหนึ่งสู่ชีวิตของพ่อ ฉันมีโอกาสได้รู้จักพ่อมากกว่าที่เคยได้รู้จักตอนพ่อยังมีชีวิตอยู่

ขณะที่ดมีตรีกับฉันเก็บที่พักกันอยู่ในวันสุดท้ายของเรา จู่ ๆ ดวงอาทิตย์ก็โผล่ออกมา และลมก็สงบลง เราจึงตัดสินใจออกไปค้นหาเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างเดินขึ้นเขา เราบังเอิญเจอหญ้าสตีปาซึ่งเป็นหญ้าขนนกเฉพาะถิ่นชนิดหนึ่งที่โบกพลิ้วอย่างอ่อนโยนอยู่ในสายลม และเราเห็นอยู่กอเดียว ในฐานะแหล่งอาหารอย่างหนึ่งของหนอนผีเสื้อชนิดนี้ หญ้ากอนี้จึงเป็นสัญญาณที่ให้ทั้งความหวังและบั่นทอนกำลังใจ เราสรุปว่าหญ้าส่วนใหญ่คงถูกพวกปศุสัตว์ และเล็มกินไปหมดแล้ว

ราวเที่ยงวัน เรานั่งลงพัก ฉันหลับตาเพื่อผ่อนคลาย พอลืมตาขึ้นมาอีกที ฉันเห็นแมลงสีมืดๆ ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็วเหนือตัวฉันราวสามเมตร “เขาอยู่นี่ เขาอยู่นี่!” ฉันตะโกน ชี้ไม้ชี้มือ ดมีตรีผุดลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งไปทางเนินฝั่งเหนือ กระโจนเหยียบก้อนหินไปราวกับเป็นแพะภูเขา ฉันวิ่งตามเขาไป แต่ไล่ตามไม่ทัน

ดมีตรียืนยันว่ามันเป็น ซาตีรุส เอฟเฟนดี อย่างแน่นอน ฉันเห็นเพศผู้ของผีเสื้อชนิดนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะยืนบนแนวสันเขากวาดตามองเนินลาดตรงนั้น มันบินมาอยู่เหนือตัวฉันอีกครั้ง ในชั่วเสี้ยววินาที ปีกระยิบระยับ สีน้ำตาลดูเด่นชัดตัดกับท้องฟ้าและภูมิประเทศสีทราย “มันอยู่นี่ค่ะ กำลังบินอยู่!” ฉันตะโกนบอกดมีตรีอีกครั้ง แล้วเราก็จ้องดูมันบินลงไปเหนือพื้นหินลดหลั่นลาดชัน แล้วหายลับไปทางปลายเนินไกลลงไปเบื้องล่าง

เรื่องและภาพถ่าย

เรนา เอฟเฟนดี

แปล อัครมุนี วรรณประไพ


อ่านเพิ่มเติม : ค่างหงอกตะนาวศรี 177 ปีของความลึกลับ

Recommend